แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มในวันนัดโดยวิธีปิดหมายณ สำนักงานของทนายผู้ร้องตามที่ปรากฏในสำนวน เมื่อปรากฏว่าทนายผู้ร้องได้ย้ายสำนักงานออกไปก่อนมีการปิดหมายนัด ถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งหมายโดยชอบ การที่ผู้ร้องไม่ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และมิได้นำเงินค่าขึ้นศาลไปชำระเพิ่มในวันนัดตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงไม่เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทิ้งอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีโดยไม่มีเหตุตามกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ก่อน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นสองฉบับ ฉบับแรกเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2529 ขอขยายระยะเวลายื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ฉบับที่สองเมื่อวันที่14 มีนาคม 2529 ขอให้มีคำสั่งกลับหรือแก้ไขคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้มีผลเป็นการถอนการยึดทรัพย์ตามที่ระบุในคำร้องศาลชั้นต้นคำร้องฉบับแรกว่าไม่อนุญาตและมีคำสั่งให้ยกคำร้องฉบับหลัง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งสองคำสั่งมาในอุทธรณ์ฉบับเดียวกัน เมื่อศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จ ได้ส่งสำนวนพร้อมของคำพิพากษาและรายงานกระบวนพิจารณาสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการเรียกให้ผู้ร้องนำเงินค่าขึ้นศาลที่ยังขาดอยู่จำนวน 200 บาทมาชำระหากผู้ร้องไม่ยอมเสีย ให้ส่งสำนวนและคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธณ์ที่ยังขาดอยู่ไปวางศาลในวันนัดด้วยโดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายผู้ร้องตามที่ปรากฏหลักฐานในสำนวน ครั้นถึงวันนัดผู้ร้องไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้ส่งสำนวนและคำพิพากษาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการ ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดให้ทนายผู้ร้องโดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายผู้ร้องตามที่ปรากฏหลักฐานในสำนวนเช่นเดิมครั้นถึงวันนัดผู้ร้องไม่ไปศาล ศาลชั้นต้นจึงอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังฝ่ายเดียว โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าผู้ร้องทิ้งอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การส่งหมายนัดแจ้งให้คู่ความทราบโดยการปิดหมายตามคำสั่งศาลนั้น หากเป็นการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของคู่ความตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนโดยไม่ปรากฏว่าคู่ความนั้นได้ย้ายไปจากภูมิลำเนานั้นก่อน ย่อมเป็นการส่งโดยชอบ และเมื่อครบกำหนดเวลา 15 วัน แล้ว ย่อมมีผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง แต่กรณีของผู้ร้องเป็นการส่งหมายนัดให้ทนายผู้ร้องทราบโดยการปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของทนายผู้ร้องตามหลักฐานในสำนวน โดยที่ปรากฏต่อมาว่าทนายผู้ร้องได้ย้ายจากภูมิลำเนานั้นก่อนแล้ว ดังนี้ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการส่งโดยชอบ แม้จะปิดหมายครบ 15 วัน แล้วก็ไม่มีผลตามกฎหมาย ถือว่าทนายผู้ร้องยังไม่ทราบนัด การที่ผู้ร้องและทนายความมิได้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และมิได้นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางศาลเพิ่มตามนัดจึงไม่เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด อันจะถือเป็นการทิ้งอุทธรณ์ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ถือว่าผู้ร้องทิ้งอุทธรณ์และพิพากษาให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น
ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของผู้ร้องด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในเมื่อกรณีของผู้ร้องไม่มีเหตุที่จะให้จำหน่ายคดี และศาลอุทธรณ์ก็ยังมิได้วินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้ออุทธรณ์ของผู้ร้อง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ และมีคำสั่งเกี่ยวกับค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามรูปคดีและตามกฎหมาย