คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทให้ส. เพื่อชำระหนี้ต่อมาส. นำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดจากโจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินดังนี้ถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่มีการกระทำผิดของจำเลยโจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯได้.

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ลงโทษจำคุก10 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คงมีปัญหาตามำีกาของจำเลยว่าเมื่อจำเลยมิได้ออกเช็คสั่งจ่ายให้โจทก์โดยตรง โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 ได้หรือไม่ คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามมาตรา 222 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้นายแสน ตันจรารักษ์ เพื่อชำระหนี้ ต่อมานายแสนนำเช็คดังกล่าวไปแลกเงินสดจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวถือว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบ ในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอันเป็นวันที่มีการกระทำผิดของจำเลย โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มิใช่มีเพียงสิทธิที่จะฟ้องจำเลยทางแพ่งตามที่จำเลยฎีกาเท่านั้น ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share