แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จำเลยจะตั้งประเด็นให้ศาลวินิจฉัยโดยเฉพาะ และต่างแถลงว่าประเด็นอื่นหากมีขอสละก็ตาม ศาลย่อมมีอำนาจที่จะยกค่าภาคหลวงที่โจทก์คิดเกินขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมูลหนี้และอำนาจฟ้องในส่วนที่เรียกร้องเกินมา
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๕ จำเลยได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้ทำการผูกขาดเก็บใบลานอันเป็นของป่าหวงห้ามได้จนถึงวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๐๗ โดยจำเลยได้ทำสัญญาว่าจำเลยจะชำระเงินค่าผูกขาดให้โจทก์รวม ๓๐,๓๐๐ บาท แบ่งชำระเป็น ๓ งวด และจำเลยรับรองจะทำใบลานออกออกมาชำระค่าภาคหลวงให้โจทก์อย่างต่ำปีละ ๓,๐๐๐ บาทด้วย หลังจากทำสัญญาแล้ว จำเลยชำระเงินค่าผูกขาดงวดแรก ๑๒,๓๐๐ บาท กับชำระเงินค่าภาคหลวงปีแรกเพียง ๒,๐๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนเงินค่าผูกขาดงวดที่ ๒-๓ รวม ๑๘,๐๐๐ บาท กับเงินค่าภาคหลวงปีแรกที่ค้างอยู่ ๑,๐๐๐ บาท และเงินค่าภาคหลวงปีที่ ๒-๓ เป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้น ๒๕,๐๐๐ บาทนั้น จำเลยมิได้ชำระจนบัดนี้ แต่จำเลยได้วางเงินประกันไว้ ๓,๐๐๐ บาท โจทก์จึงนำมาหักใช้หนี้ คงเหลือเงินที่จำเลยต้องใช้ให้โจทก์ ๒๒,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ขอคิดเอาเพียง ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ชำระ จึงฟ้องของให้จำเลยใช้เงิน ๒๐,๐๐๐ บาท -และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จ
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาดังกล่าวไว้กับโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิด และในวันนัดชี้สองสถาน คู่ความต่างไม่ขอสืบพยาน และขอให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะประเด็นเพียง ๒ ข้อ คือ
๑. การที่จำเลยได้มีหนังสือขอเลิกเก็บใบลานนั้น โจทก์จะต้องบอกเลิกสัญญากับจำเลยตามสัญญาข้อ ๑๓ ท้ายฟ้องโจทก์หรือไม่
๒. เมื่อจำเลยมีหนังสือดังกล่าวขอเลิกสัญญาแล้ว และอธิบดีกรมป่าไม้ไม่วินิจฉัยโดยเร็ว เพิ่งจะแจ้งผลการวินิจฉัยให้จำเลยทราบเป็นเวลา ๘ เดือนเศษให้หลังนั้นเป็นการขัดต่อสัญญาข้อ ๑๔ ท้ายฟ้อง และมาตรา ๔๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ และจำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาต่อไปหรือไม่ ประเด็นอื่นหากจะมีต่างสละ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ในประเด็นข้อ ๑ โจทก์ไม่จำต้องบอกเลิกสัญญากับจำเลย ส่วนประเด็นข้อ ๒ กรณีไม่เข้าตามสัญญาข้อ ๑๔ หรือแม้จะเข้าข้อ ๑๔ ก็ไม่มีกำหนดเวลาให้อธิบดีกรมป่าไม้ชี้ขาด และไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๒๑ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนชำระให้โจทก็เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์ไม่ยอมเลิกสัญญาตามคำขอของจำเลยได้ และจำเลยยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามสัญญาจนกว่าจะสิ้นอายุใบอนุญาต แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินค่าภาคหลวงปีที่ ๓ อีกหนึ่งปีเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาทนั้น เกินไปหรือผิดไป เพราะใบอนุญาตมีเพียง ๒ ปี เงินจำนวนนี้จึงต้องหักออกจากยอดเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์คิดลดหย่อนให้จำเลย จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๑๗,๐๐๐ บาท นอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์จำเลยฎีกา
ฎีกาของจำเลยไม่เข้าประเด็น ๒ ข้อที่โจทก์จำเลยขอให้ศาลวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย
ฝ่ายโจทก์ฎีกาว่าจำเลยได้สละที่จะไม่โต้เถียงเรื่องจำนวนเงินที่โจทก์เรียกร้องตามฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจแก้ไขจำนวนเงินนี้ หากจะแก้ไขก็ควรหักเงินค่าภาคหลวงปีที่ ๓ จำนวน ๓,๐๐๐ บาท ออกจากยอดเงิน ๒๒,๐๐๐ บาท ไม่ใช่หักจากยอด ๒๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ลดหย่อนให้แล้ว ขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิฉะนั้นก็ขอให้แก้ไขให้จำเลยใช้เงินให้โจทก์ ๑๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์คิดค่าภาคหลวงเกินไป ๑ ปี เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท แม้ในการชี้สองสถานโจทก์จำเลยจะขอให้ศาลวินิจฉัยเฉพาะประเด็นดังกล่าวเพียง ๒ ข้อ และสละประเด็นอื่นก็ตาม ศาลก็ยกข้อที่โจทก์คิดค่าภาคหลวงเกินขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมูลหนี้และอำนาจฟ้องในส่วนที่เรียกร้องเกินมา แต่อย่างไรก็ตาม เงินจำนวน ๓,๐๐๐ บาท ต้องหักออกจากยอดที่โจทก์คิดไว้เกินไม่ใช่จากยอดที่โจทก์ลดหย่อนให้จำเลยแล้ว พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้เงิน ๑๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์