แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การมีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถยนต์เป็นแต่ข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นว่าเป็นเจ้าของเท่านั้น หาใช่แสดงว่าผู้มีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์เสมอไปไม่ เพราะทะเบียนรถยนต์มิใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์
โจทก์ร่วมได้นำรถยนต์ของตนเข้าวิ่งร่วมรับจ้างบรรทุกกับโจทก์ และมอบให้โจทก์ลงชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถยนต์ แต่โจทก์ร่วมยังเป็นผู้ออกค่าจ้างคนขับค่าน้ำมัน ค่าซ่อมเครื่องยนต์และยาง ซึ่งพฤติการณ์แสดงว่ารถยนต์ดังกล่าวยังเป็นของโจทก์ร่วมอยู่ การโอนทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของเป็นเพียงพิธีการจะให้รถยนต์ได้เข้ามาร่วมกิจการกับโจทก์เพื่อหาประโยชน์เท่านั้น การร่วมกิจการเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันในกรณีเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม เมื่อมีผู้ทำละเมิดเป็นเหตุให้รถยนต์ดังกล่าวเสียหาย โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นการเรียกร้องเพื่อประโยชน์แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยทุกคน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ทะเบียน ล.บ.02525 เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด และว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถล.บ.02525
เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว นายใช้ นันทพงษ์ ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ทะเบียน ล.บ.02525 ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้นายใช้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ซึ่งบกพร่อง กลับสมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อประมาท และค่าเสียหาย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ห้างหุ้นส่วนโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์ทำการขนส่งสินค้า พัสดุภัณฑ์ทุกชนิด และคนโดยสารโดยทางรถยนต์หุ้นส่วนผู้จัดการมี 2 คน คือ นายสุวิทย์ สุทธิวานิชและนายสวัสดิ์ วงศกวี รถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียนที่ ล.บ.02525 เดิมเป็นของนายใช้ นันทพงษ์ ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 ปี นายใช้ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าวิ่งร่วมรับจ้างบรรทุกกับโจทก์ และมอบให้โจทก์ลงชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน และนายสุวิทย์ สุทธิวานิชหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์เบิกความรับว่า เมื่อรถคันนี้ไปทำความเสียหายให้แก่ผู้ใดโจทก์จะต้องรับผิดชอบด้วย โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2509 ตลอดมาถึงปัจจุบัน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การมีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนรถยนต์นั้นหาใช่แสดงว่าผู้มีชื่อเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นเสมอไปไม่เพราะทะเบียนรถยนต์ไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมยานพาหนะและภาษี การมีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนเป็นแต่ข้อสันนิษฐานในเบื้องต้นว่าเป็นเจ้าของเท่านั้นคดีนี้นายใช้ นันทพงษ์ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ล.บ.02525 ร่วมกับโจทก์ในคดีนี้ โดยผู้ร้องได้นำรถยนต์ดังกล่าวเข้ามาเดินร่วมรับจ้างบรรทุกอยู่กับห้างหุ้นส่วนโจทก์ และยอมให้ห้างหุ้นส่วนโจทก์ลงชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีนี้ด้วย จึงขออนุญาตร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ตามคำร้องที่ยื่นผู้ร้องอ้างความเป็นเจ้าของร่วมโดยได้นำรถยนต์ดังกล่าวเข้ามาเดินร่วมรับจ้างบรรทุกกับโจทก์ กรณีเช่นนี้หาใช่มีกรรมสิทธิ์ร่วมในตัวทรัพย์คือรถยนต์ไม่ หากแต่เป็นการร่วมกิจการประกอบกับนายสุวิทย์ สุทธิวานิช หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ก็เบิกความว่า แม้รถคันนี้จะได้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของแล้วก็ตาม แต่นายใช้ยังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย เช่น ค่าจ้างคนขับ ค่าน้ำมัน ค่าซ่อมเครื่องยนต์และยางอยู่ เมื่อฟังประกอบกับคำร้องนายใช้แล้วพฤติการณ์แสดงชัดว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.บ.02525 ยังเป็นของนายใช้อยู่ การโอนทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ เป็นเพียงพิธีการที่จะให้รถยนต์คันนี้ได้มาร่วมกิจการกับห้างหุ้นส่วนโจทก์เพื่อหาประโยชน์เท่านั้น อย่างไรก็ดีการร่วมกิจการเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันในกรณีเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนระหว่างห้างโจทก์กับนายใช้ การที่ห้างโจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนฟ้องจำเลยฐานประมาท ทำให้ทรัพย์ของหุ้นส่วนเสียหาย แล้วต่อมานายใช้ซึ่งเป็นหุ้นส่วนขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม การฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นการเรียกร้องเพื่อประโยชน์แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยทุกคน โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิฟ้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายืน