แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทโจทก์ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปี เป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์โจทก์ซึ่งยึดถือที่ดินพิพาทที่มีเงื่อนไขดังกล่าวจึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และตามประมวลกฎหมายที่ดินโจทก์ไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 หรือ 1378 ให้แก่ผู้อื่นได้ด้วยเหตุนี้แม้จะฟังว่าสัญญาจำนองที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้นับแต่วันที่โจทก์ทำหนังสือสัญญาจำนองแก่จำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจยกเรื่องสิทธิครอบครองโดยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้จากจำเลย แต่ต่อมาจำเลยไม่ยอมรับชำระหนี้และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและคืน น.ส.3 ก. ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ให้จำเลยรับชำระหนี้จำนองพร้อมดอกเบี้ยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ความจริงโจทก์จำเลยมีเจตนาซื้อขายที่ดินพิพาทต่อกัน แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทต้องห้ามมิให้โอนการครอบครองต่อกัน ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511จึงทำสัญญาจำนองแทน โจทก์สละการครอบครองที่ดินพิพาทแก่จำเลยและจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปี ขอให้ยกฟ้องกับห้ามโจทก์และบริวารรบกวนการครอบครองของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทและโจทก์มิได้สละการครอบครองที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนและจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ โดยให้จำเลยรับเงินจากสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดนครสวรรค์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกและยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง ที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี” ดังนั้นที่ดินพิพาทที่โจทก์ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปีนั้นจึงเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ โจทก์ซึ่งยึดถือที่ดินพิพาทที่มีเงื่อนไขดังกล่าว จึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินโจทก์ไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 หรือมาตรา 1378 ให้แก่ผู้อื่นได้ด้วยเหตุนี้แม้จะฟังว่าสัญญาจำนองที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขายและจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้นับแต่วันที่โจทก์ทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยดังฎีกาจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจยกเรื่องสิทธิครอบครองโดยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้
พิพากษายืน