คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4693/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สิบตำรวจตรี ป.ล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลย สิบตำรวจตรี ป.เอาธนบัตรยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังของจำเลยแล้วจำเลยเดินไปที่ป่าละเมาะหลังบ้าน จำเลยตกลงจะจำหน่ายเฮโรอีนให้ และที่เดินไปป่าหลังบ้านก็เพื่อจะนำเฮโรอีนมาให้เป็นการลงมือกระทำความผิดในข้อหาจำหน่ายเฮโรอีนแล้ว แต่จำเลยมีเฮโรอีนจำนวน 9 หลอด จำเลยยังไม่ได้แบ่งแยกเฮโรอีนส่งมอบให้แก่สิบตำรวจตรี ป.ยังไม่ทราบว่าธนบัตรที่สิบตำรวจตรี ป.ยัดใส่กระเป๋ามีจำนวนเท่าใด และจำเลยจะต้องมอบเฮโรอีนให้สิบตำรวจตรี ป.จำนวนเท่าใด ดังนี้ การซื้อขายหรือจำหน่ายเฮโรอีนยังไม่เป็นความผิดสำเร็จ โดยเป็นเพียงขั้นพยายามเท่านั้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 และริบเฮโรอีนของกลาง คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธว่า จำเลยมิได้มียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้องแต่จำเลยยอมรับว่ามียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนตามฟ้องไว้ในครอบครองเพื่อเสพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษตามมาตรา 66 จำคุก 6 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน ลงโทษตามมาตรา 66 จำคุก 6 ปี รวมสองกระทง ลงโทษจำคุก 12 ปีจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี และให้ริบเฮโรอีนของกลาง คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคแรก และมีความผิดฐานพยายามจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคแรกประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ให้จำคุก 4 ปี รวมสองกระทงเป็นจำคุก 10 ปี ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2530 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมด้วยเฮโรอีนจำนวน 9 หลอด บรรจุอยู่ในถุงพลาสติก และธนบัตรฉบับละ 10 บาท จำนวน 14 ฉบับเป็นเงิน 140 บาท ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจมอบให้สายลับไปล่อซื้อเฮโรอีนจากกระเป๋ากางเกงของจำเลยเป็นของกลาง
สำหรับข้อหา มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยระบุวรรคของบทมาตราลงโทษให้ชัดเจนขึ้นเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้องหรือไม่เพียงใดนั้น โจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยได้จำหน่ายเฮโรอีนเป็นความผิดสำเร็จแล้ว มิใช่เป็นเพียงการพยายามจำหน่ายเฮโรอีนดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและจำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยจำหน่ายเฮโรอีน หรือพยายามจำหน่ายเฮโรอีนพิเคราะห์แล้ว ข้อนี้สิบตำรวจตรีปรีชาพยานโจทก์เบิกความว่าพยานไปขอซื้อเฮโรอีนจากจำเลย แต่จำเลยบอกว่าไม่มี มารดาจำเลยพูดว่าเขามาไกล ให้เขาไปเถอะ พยานยัดธนบัตรที่ได้รับมาให้ล่อซื้อใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังของจำเลย 140 บาท อีก 10 บาท พยานเอาไว้เป็นค่ารถ แล้วจำเลยก็เดินไปที่ป่าละเมาะหลังบ้าน ศาลฎีกาเห็นว่าการที่สิบตำรวจตรีปรีชาเอาธนบัตรยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังของจำเลยแล้วจำเลยเดินไปที่ป่าละเมาะหลังบ้านจำเลยแสดงว่าจำเลยตกลงจะจำหน่ายเฮโรอีนให้สิบตำรวจตรีปรีชา การเดินไปที่ป่าหลังบ้านก็เพื่อจะนำเฮโรอีนมาให้สิบตำรวจตรีปรีชา อันเป็นการลงมือกระทำความผิดในข้อหาฐานนี้แล้ว แต่เนื่องจากปรากฏว่าจำเลยมีเฮโรอีนจำนวน 9 หลอด จำเลยยังไม่ได้แบ่งแยกเฮโรอีนส่งมอบให้แก่สิบตำรวจตรีปรีชา ยังไม่ทราบว่าธนบัตรที่สิบตำรวจตรีปรีชายัดใส่กระเป๋ามานั้นมีจำนวนเท่าใด และจะต้องมอบเฮโรอีนให้สิบตำรวจตรีปรีชาจำนวนเท่าใดดังนี้ การซื้อขายหรือจำหน่ายเฮโรอีนยังไม่เป็นความผิดสำเร็จโดยเป็นเพียงขั้นพยายามเท่านั้น…”
พิพากษายืน.

Share