คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2215-2216/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อความตามสัญญาระบุว่า หากผู้รับจ้างไม่อาจก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดดังกล่าว ผู้รับจ้างยินยอมให้ผู้จ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 1,000 บาท จนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จนั้นเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์ผู้รับจ้างสัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรฉะนั้น นอกจากเรียกให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยผู้จ้างจะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นอีกด้วยก็ได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381
การที่จำเลยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ภายหลังวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ 3-4 วัน และต่อจากนั้นก็ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลใดซ่อมแซมก่อสร้างงานที่ขาดตกบกพร่องให้แล้วเสร็จไปโดยพลันจึงมีส่วนผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาถึง 360 วันศาลเห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ให้เพียง 60 วัน คิดเป็นเงิน 60,000 บาท
เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์ทำงานงวดสุดท้ายตามสัญญาไปแล้ว หากแต่ทำงานไปโดยยังไม่เรียบร้อยมีข้อบกพร่องอยู่และไม่ส่งมอบงานให้จำเลย จำเลยจึงบอกเลิกสัญญา จำเลยคงมีสิทธิหักค่าจ้างเท่าที่ต้องเสียไป แต่ไม่มีสิทธิจะงดจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายเสียทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือว่าจ้างโจทก์ให้ทำการก่อสร้างอาคาร สัญญาจะชำระเงินค่าจ้างให้โจทก์เป็น 7 งวด งวดสุดท้าย จะชำระเมื่อโจทก์ประกอบบานประตู หน้าต่าง ปูกระเบื้องห้องน้ำและปูพื้นกระเบื้องยางเสร็จ โจทก์ได้ทำการก่อสร้างตามสัญญา และจำเลยได้รับมอบไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ยอมชำระค่าจ้างที่ค้าง ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า โจทก์ทำงานงวดสุดท้ายไม่เสร็จ จำเลยต้องจ้างช่างอื่นมาทำการแทน โจทก์ผิดสัญญา จึงไม่มีสิทธิรับเงิน

สำนวนหลังโจทก์ฟ้องมีข้อความทำนองเดียวกับคำให้การของจำเลยในสำนวนแรก และฟ้องว่าเมื่อจำเลยผิดสัญญาก่อสร้างอาคาร โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาให้จำเลยทราบ จำเลยต้องเสียค่าปรับแก่โจทก์วันละ 1,000 บาท และโจทก์ต้องเสียหายในการที่จำเลยสร้างอาคารไม่เสร็จ จึงขอเรียกค่าเสียหายและค่าปรับเป็นเงิน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกับฟ้องโจทก์ในสำนวนแรกและให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรวมพิจารณาและพิพากษาโดยเรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดดำรงศักดิ์ก่อสร้างทั้งสองสำนวนว่าโจทก์ และเรียกนายเจริญชัยทั้งสองสำนวนว่าจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ (สำนวนแรก) และพิพากษาให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 (จำเลยที่ 1 ที่ 2 ในสำนวนหลัง) ร่วมกันใช้ค่าเสียหายและเบี้ยปรับแก่จำเลยเป็นเงิน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยฎีกาขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายและเบี้ยปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อความตามสัญญาระบุว่า หากผู้รับจ้างไม่อาจก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายในกำหนดดังกล่าว ผู้รับจ้างยินยอมให้ผู้จ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 1,000 บาท จนกว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จนั้น เบี้ยปรับ วันละ 1,000 บาทนั้น เป็นเบี้ยปรับที่โจทก์ผู้รับจ้างสัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควร เช่นว่าไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้เป็นต้น ฉะนั้น นอกจากเรียกให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยผู้จ้างจะเรียกเอาเบี้ยปรับอันจะพึงริบนั้นอีกด้วยก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 แต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ภายหลังวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ 3 – 4 วัน และต่อจากนั้นก็ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลใดซ่อมแซมก่อสร้างงานที่ขาดตกบกพร่องให้แล้วเสร็จไปโดยพลัน จึงมีส่วนผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาถึง 360 วัน เมื่อคำนวณงานที่ยังไม่แล้วเสร็จรวม 11 รายการแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ให้เพียง 60 วันคิดเป็นเงิน 60,000 บาท

เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์ทำงานงวดสุดท้ายตามสัญญาไปแล้ว หากแต่ทำงานไปโดยยังไม่เรียบร้อยมีข้อบกพร่องอยู่และไม่ส่งมอบงานให้จำเลย จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและให้บุคคลอื่นคิดราคาค่าซ่อมแซมงานที่ยังไม่เรียบร้อยและมีข้อบกพร่องอยู่ ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ไม่ทำงานเลยจนถึงกับจำเลยจะมีสิทธิไม่จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ จำเลยคงมีสิทธิหักค่าจ้างเท่าที่ต้องเสียไป แต่ไม่มีสิทธิจะงดจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายเสียทั้งหมดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391

พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระค่าจ้างงวดที่ 7 (งวดสุดท้าย) เป็นเงิน179,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share