คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7737/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับราชการเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลเลิดสิน มีหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการคือตรวจและรักษาคนไข้ การที่จำเลยไปเบิกความเกี่ยวกับการตรวจร่างกายโจทก์ที่โรงพยาบาลศิริราชขณะจำเลยเป็นนักศึกษาแพทย์ จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่จำเลยได้รับมอบหมายจากทางราชการ การกระทำของจำเลยไม่มีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 165 วรรคสาม จะบัญญัติว่า ก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น แต่ตามบทมาตราดังกล่าวก็บัญญัติให้สิทธิจำเลยตั้งทนายเข้าซักค้านพยานโจทก์ได้ ดังนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำแถลงการณ์ชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาไต่สวนว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลได้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 177 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2540 โจทก์ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขันว่าถูกนายบุญชัยทำร้ายร่างกาย พนักงานสอบสวนส่งโจทก์ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลศิริราชจำเลยซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 เป็นผู้ตรวจ จำเลยไปให้การต่อพนักงานสอบสวน วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 จำเลยไปเบิกความต่อศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขดำที่ 4009/2541, 4012/2541, 406/2542 เกี่ยวกับการตรวจร่างกายโจทก์ดังกล่าวและ วันที่ 2 กันยายน 2545 จำเลยไปเบิกความต่อศาลแขวงตลิ่งชันในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2503/2543
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า คดีของโจทก์มีมูลหรือไม่ สำหรับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น เห็นว่า จำเลยรับราชการเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาลเลิดสิน มีหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายจากทางราชการคือตรวจและรักษาคนไข้ การที่จำเลยไปเบิกความเกี่ยวกับการตรวจร่างกายโจทก์ที่โรงพยาบาลศิริราชขณะจำเลยเป็นนักศึกษาแพทย์จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่จำเลยได้รับมอบหมายจากทางราชการ การกระทำของจำเลยไม่มีมูลความผิดฐานนี้…
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้น เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคสาม จะบัญญัติว่าก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น แต่ตามบทมาตราดังกล่าวก็บัญญัติให้สิทธิจำเลยตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ได้ ดังนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิยื่นคำแถลงชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาไต่สวนว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลได้ด้วย ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share