คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้โจทก์ส่งคำอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ภายใน 10 วัน แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ศาลภาษีอากรกลางชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร ฯ มาตรา 17, 20 ประกอบข้อกำหนด ฯ ข้อ 12
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีอำนาจยึดและอายัดทรัพย์เพราะเลยกำหนดอายุความ 10 ปีแล้ว นั้น เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรและคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางภายในเวลาที่กำหนด และศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์โดยชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเลขที่ 3015350/6/100449 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2546 และหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะ เลขที่ 03015350 – 25460926 – 006 – 00324 และ 00325 ลงวันที่ 26 กันยายน 2546 กับให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่มีคำสั่งให้อายัดเงินของโจทก์ และให้จำเลยคืนเงิน 141,753.75 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งว่า ให้โจทก์ส่งคำอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลก่อนภายใน 10 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง จึงจะพิจารณาสั่งต่อไป โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรภายในระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่ง ศาลภาษีอากรกลางจึงมีคำสั่งลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2549 ว่า โจทก์ไม่ส่งคำอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จึงไม่แนบเอกสารตามที่กฎหมายกำหนดต่อศาลภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนด จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์มีมูลคดีสืบเนื่องมาจากการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่พอใจการประเมินก็ต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งการประเมิน โดยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามมาตรา 30 แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว โจทก์ไม่พอใจก็ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาเช่นว่านั้น เมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งให้โจทก์ส่งคำอุทธรณ์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลก่อนภายใน 10 วัน นับแต่วันที่โจทก์ยื่นคำฟ้อง โดยสั่งในวันเดียวกันนั้น ถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งโดยชอบแล้ว แต่โจทก์มิได้ปฏิบัติ ศาลภาษีอากรกลางชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์นั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17 และมาตรา 20 ประกอบข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ.2544 ข้อ 12 ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์ชอบแล้ว ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยไม่มีอำนาจยึดและอายัดทรัพย์สินของโจทก์เพราะเลยกำหนดอายุความ 10 ปี แล้ว นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์มิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรและตามคำสั่งของศาลภายในเวลาที่กำหนด และศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์โดยชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้

Share