คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามไว้เพื่อการสหกรณ์ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ซึ่งต้องห้ามมิให้โอนแก่กัน เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305โจทก์ซึ่งรับโอนที่พิพาทมาจึงไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาท และไม่มีสิทธิจะนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้ผู้ใดเช่า เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธินำที่พิพาทไปให้จำเลยเช่า โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาท และเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจากจำเลย (อ้างฎีกาที่ 622/2510)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่นาอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์มีกำหนด 10 ปี จำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เลย โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าเช่าถ้าจำเลยไม่ชำระให้ถือว่าผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแต่จำเลยก็ไม่ชำระและยังอยู่ในที่ดินโจทก์ตลอดมา ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างเป็นข้าว 150 ถัง หรือเงิน 1,800 บาทและขับไล่จำเลยออกจากที่นาโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 201.25 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง

จำเลยให้การและขอแก้ไขเพิ่มเติมว่า ที่ดินเป็นที่ดินมีพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามไว้เพื่อการสหกรณ์ ไม่ใช่ที่ของโจทก์ ที่ดินที่ตกลงเช่ากัน คือที่ดินตามแผนที่พิพาทสีเหลือง ส่วนที่ดินพิพาทตามแผนที่หมายสีแดงเป็นที่ของจำเลย ที่ดินหมายสีเหลืองโจทก์ส่งมอบให้จำเลยไม่ได้ เพราะนายเผ่าครอบครองอยู่ จำเลยได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับโจทก์ด้วยวาจาแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าจากจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าที่พิพาทตามแผนที่หมายอักษร ก. โจทก์ควรได้ค่าเช่าเป็นเงิน 1,440 บาทและค่าเสียหายอีกเดือนละ 40 บาทนับตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2511 จนกว่าจำเลยจะออกจากที่เช่า กับให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทภายในเส้นสีแดง

โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ควรชนะคดีเต็มตามฟ้อง จำเลยเช่าที่ดินโจทก์ตามแผนที่พิพาทหมาย ข. ด้วย

จำเลยอุทธรณ์ว่าที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ไม่ใช่ที่ดินตามแผนที่กลางหมายอักษร ก. แต่เป็นที่ดินซึ่งโจทก์แพ้คดีนายเผ่าและส่งมอบให้แก่จำเลยไม่ได้ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าเช่าและค่าเสียหายให้โจทก์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดว่าให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตั้งแต่เมื่อใดจึงพิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ

โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องรวมทั้งที่ดินตามแผนที่พิพาทหมายอักษร ข. ด้วย

จำเลยฎีกาว่า ที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ไม่ใช่ที่ดินตามแผนที่พิพาทหมายอักษร ก.

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ถึงแก่กรรม นางสาวเพชรีร้องขอรับมรดกแทน ศาลฎีกาสั่งอนุญาต

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามไว้เพื่อการสหกรณ์ จึงเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) ซึ่งต้องห้ามมิให้โอนแก่กัน เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 ดังนั้น โจทก์ซึ่งรับโอนที่พิพาทมาจึงไม่มีสิทธิเหนือที่พิพาทและไม่มีสิทธิจะนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้ผู้ใดเช่า ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 622/2510 เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธินำที่พิพาทไปให้จำเลยเช่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาท และเรียกค่าเช่ากับค่าเสียหายจากจำเลย และปัญหานี้เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์จำเลยต่อไป

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์

Share