คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 771/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ในตอนแรกชายจะฉุดคร่าหญิงไปก็ตาม ภายหลังชายหญิงนั้นก็ตกลงจะทำการสมรสกันได้
การที่ชายได้พาหญิงไปในทางชู้สาวยังไม่เป็นการสมรสตามกฎหมาย ชายหญิงนั้นย้อนกลับมาทำการสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ และชายยอมให้สินสอดแก่บิดาหญิงได้
เงินสินสอดที่บิดาโจทก์มอบให้แก่จำเลยที่ 1 บิดาของหญิงนั้น เมื่อไม่มีการสมรส โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกคืนได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นบิดาผู้ปกครองจำเลยที่ ๒ โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ลักพากันไปในทางชู้สาว ต่อมาโจทก์ได้จัดเฒ่าแก่ไปพูดกับจำเลยที่ ๑ เพื่อสู่ขอจำเลยที่ ๒ ทำการสมรสกับโจทก์ จำเลยที่ ๑ เรียกค่าสินสอด ๔,๐๔๐ บาท โจทก์ได้มอบเงิน ๔,๐๔๐ บาทให้จำเลยที่ ๑ โดยหวังว่าจะได้ทำการสมรสกับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่๑ ได้เพทุบายให้จำเลยที่ ๒ หลบหนีไป ไม่ยอมรสมรสกับโจทก์ตามสัญญา โจทก์ขอสินสอดคืน จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมให้ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ความจริงโจทก์กับพวกได้ใช้อาวุธปืนจี้ฉุดจำเลยที่ ๒ ไป ต่อมาโจทก์ยอมให้ค่าล้างอายจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๔,๐๔๐ บาท จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ตกลงยินยอมให้จำเลยที่ ๒ ทำการสมรสกับโจทก์ ไม่ได้รับเงินและเรียกสินสอด มิได้ให้จำเลยที่ ๒ หลบหนี ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยที่ ๑ แต่ผู้เดียวคืนเงิน ๔,๐๔๐ บาทให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ คงให้ยกฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ ๑ รับเงิน ๔,๐๔๐ บาทของโจทก์ไว้เป็นค่าสินสอด ประเด็นที่ว่าโจทก์ได้ฉุดคร่าจำเลยที่ ๒ ไปจริงหรือไม่ และโจทก์ได้พาจำเลยที่ ๒ ไปจริงหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เพราะแม้คดีจะฟังได้ว่าโจทก์ฉุดคร่าไปจริง ภายหลังการฉุดคร่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ก็ตกลงจะทำการสมรสกันได้ การฉุดคร่ากับการตกลงจะทำการสมรสเป็นเรื่องที่แยกกันได้ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์ได้พาจำเลยที่ ๒ ไปในทางชู้สาวจริงหรือไม่ หากคดีจะฟังได้ว่าโจทก์ได้พาไปในทางชู้สาวจริง โจทก์กับจำเลยก็ยังไม่ได้ทำการสมรสกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ก็ย้อนกลับมาทำการสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ และยอมให้สินสอดแก่จำเลยที่ ๑ ได้
ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ว่า เงินนี้ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าเงินนี้เป็นเงินของฝ่ายโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้.
พิพากษายืน.

Share