คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก 12 เดือน ย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลา เมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด 5 ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกัน ต่อมาโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่น นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง 5 ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด 5 ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้น โจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่าซื้อเครื่องจักรหีบอ้อยไปจากโจทก์แล้วก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถาม จำเลยก็ไม่ชำระและจะขายเครื่องจักรที่เช่าซื้อให้แก่คนอื่น โจทก์จึงบอกเลิกการเช่าซื้อและให้จำเลยคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อ จำเลยก็ไม่คืน ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเครื่องยนต์และเครื่องจักรตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ หรือให้ใช้ราคาทรัพย์และค่าเช่าที่ค้างชำระ
นายวาสน์ สาหร่ายทอง ให้การว่า ขณะทำสัญญาเช่าซื้อ ตนได้เป็นผู้จัดการบริษัทน้ำตาลลำพูนจริง แต่ขณะฟ้องมิได้เป็นแล้ว และต่อสู้ว่าได้ทำสัญญาเช่าซื้อเครื่องยนต์และเครื่องจักรหีบอ้อยจริง แต่ภายหลังได้มีการตกลงซื้อขายเด็ดขาดและบริษัทจำเลยได้ชำระเงินหมดสิ้นแล้ว หากมีหนี้สินค้างชำระอยู่ก็ขาดอายุความแล้ว
โจทก์ขอให้เรียกนายอโณทัย วงศ์ลือเกียรติ เข้ามาเป็นจำเลย นายอโณทัยให้การว่า เป็นกรรมการผู้จัดการจริง และต่อสู้ทำนองเดียวกับนายวาสน์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า การที่โจทก์ให้จำเลยทำสัญญาจำนองเพื่อประกันหนี้ตามสัญญารับสภาพหนี้นั้น โจทก์จำเลยจึงมีเจตนาที่จะไม่ถือบังคับตามสัญญาเช่าซื้อต่อไป เป็นการแสดงเจตนาซื้อขายกันเด็ดขาด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเครื่องยนต์เครื่องจักรคืน จำเลยต้องชำระเงินที่ค้างโจทก์อยู่ตามสัญญารับสภาพหนี้และคดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
โจทก์อุทธรณ์ว่า สัญญาเช่าซื้อยังไม่ได้เลิกกัน ควรบังคับให้จำเลยคืนทรัพย์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์สละเงื่อนไขเดิมในการเช่าซื้อหมดแล้ว ควรฟังว่าเป็นการขายขาด จำเลยค้างชำระราคาตามที่รับสภาพหนี้ จำเลยก็ได้ทำสัญญาจำนองให้แก่โจทก์แล้วเป็นการแปลงหนี้ใหม่ สัญญาจำนองยังไม่ถึงกำหนด ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงกันใหม่ในเรื่องเวลาจะต้องชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตามสัญญาจำนองซึ่งยังไม่พ้นกำหนดไถ่ถอน จำเลยไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก ๑๒ เดือน ย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลา เมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินตามที่ระบุไว้มาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด ๕ ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกัน ในที่สุดโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่นเลย นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง ๕ ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด ๕ ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้น โจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลา และฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้แก่จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น
พิพากษายืน.

Share