แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อกที่บ้านจำนวน2 วง โดยแต่ละวงมีผู้เข้าร่วมเล่นหลายคน การกระทำของจำเลยที่ 1จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แต่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็น 2 คดีตามจำนวนวงการพนันในข้อหาว่าเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อกเมื่อคดีสำนวนหนึ่งศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยที่ 1ไปแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 อีกคดีหนึ่งย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478มาตรา 4, 10, 12, 15 ริบของกลาง และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 890/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 10, 12, 15 จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 1 ให้จำคุก 2 เดือน และปรับ 1,050 บาทจำเลยนอกนั้นปรับคนละ 840 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 1 ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ริบของกลาง คำขออื่นให้ยกเพราะคดีที่ขอให้นับโทษต่อยังมิได้มีคำพิพากษา โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่รอการลงโทษและไม่ปรับสำหรับจำเลยที่ 1 และให้นับโทษจำเลยที่ 1ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 890/2530 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ประการแรกว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 890/2530 ของศาลชั้นต้นที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อหรือไม่พิเคราะห์แล้ว คดีนี้หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 1 แล้ว โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษได้ความจากอุทธรณ์ของโจทก์เองว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันป๊อกในบ้านของจำเลยที่ 1 จำนวน 2 วงด้วยกัน โดยแต่ละวงมีผู้เข้าร่วมเล่นหลายคนซึ่งโจทก์ได้ฟ้องศาลในวันเดียวกัน และขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ติดต่อกันทั้งสองสำนวนคือ คดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 906/2530 หมายเลขแดงที่ 890/2530 ของศาลชั้นต้นนอกจากนี้ปรากฏตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีของสถานีตำรวจภูธรอำเภอเสนา เอกสารท้ายฎีกาของจำเลยที่ 1 ระบุว่า วันเกิดเหตุเวลา 00.10 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 23 คนที่บ้านเลขที่ ข. 83/5 ตำบลเสนา อำเภอเสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในข้อหาร่วมกันลักลอบเล่นการพนันไพ่ป๊อกพนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยแยกผู้ต้องหาออกเป็น2 พวก เฉพาะพวกหลังมีผู้ต้องหาจำนวน 12 คนและมีชื่อจำเลยที่ 1รวมอยู่ด้วย ปรากฏว่ารายชื่อผู้ต้องหาพวกหลังดังกล่าวนั้น ตรงกับรายชื่อของจำเลยทั้ง 12 คนในคดีนี้ ทั้งยังได้ความจากฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์มิได้แก้ฎีกาเป็นอย่างอื่นว่า วันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ลักลอบเล่นการพนันไพ่ป๊อกที่บ้านจำเลยที่ 1 ได้ผู้ต้องหารวม 23 คน โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นแต่โจทก์ได้แยกผู้ต้องหาเป็น 2 พวก และฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อกเป็น 2 คดี คือคดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 890/2530 ของศาลชั้นต้น คดีสำนวนหลังศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 รับโทษจำคุกไปแล้ว ดังนี้ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อกที่บ้านจำเลยที่ 1 โดยมีผู้ร่วมเล่นการพนันซึ่งรวมทั้งจำเลยที่ 1 ด้วย จำนวน 23 คน และแยกกันเล่นเป็น 2 วงการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียว แต่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็น 2 คดี ตามจำนวนวงการพนันในข้อหาว่าเป็นผู้จัดให้มีการเล่นการพนันป๊อกคือ คดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 890/2530ของศาลชั้นต้น เมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 890/2530 ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยที่ 1 ไปแล้วสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ฎีกาของจำเลยที่ 1ข้อนี้ฟังขึ้น กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1อีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”