คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7687/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับมอบเงินที่ได้จากการขายน้ำมันของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเงินนั้นบางส่วนเป็นเงิน 6,451,435.43 บาท ไปเป็นของจำเลยทำให้งบดุลประจำปีไม่ลงตัว ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน 2541 กรรมการโจทก์ร่วมการนำงบดุลของโจทก์ร่วมให้จำเลยดู จำเลยยอมรับว่าได้เอาเงินของโจทก์ร่วมไปและเขียนบันทึกยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ร่วมในจำนวนเงินดังกล่าว ดังนั้น โจทก์ร่วมเพิ่งทราบแน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้เอาเงินไปในวันดังกล่าว กรณีจึงถือว่าโจทก์ร่วมได้รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2541 และโจทก์ร่วมมาร้องทุกข์ในวันที่ 1 กันยายน 2541 จึงเป็นการร้องทุกข์ภายใน 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 352 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 6,451,435.43 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัททีปพิพัฒน์ ที.พี.พี. จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก เป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน รวม 8 กระทง จำคุก 12 ปี ชั้นจับกุมจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 6,451,435.43 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง และให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่โจทก์ร่วมด้วย
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้รับมอบเงินที่ได้จากการจำหน่ายน้ำมันของโจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเงินนั้นบางส่วนเป็นจำนวน 6,451,435.43 บาท ไปเป็นของจำเลย จำเลยยอมรับว่าได้เอาเงินที่สถานีบริการน้ำมันของโจทก์ร่วมไปใช้ทำธุรกิจส่วนตัวของจำเลย จำเลยทำบันทึกให้แก่โจทก์ร่วมโดยจำเลยเป็นผู้เขียนด้วยตนเองต่อหน้านายประทีป นอกจากนี้จำเลยยังทำบันทึกรายละเอียดการเอาเงินไปแต่ละครั้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม 2540 ไว้ด้วย จึงเป็นวันที่จำเลยยอมรับผิดต่อโจทก์ร่วม และรู้ตัวผู้กระทำความผิด โจทก์ร่วมทราบแน่ชัดว่าจำเลยเป็นผู้เอาเงินไปในวันที่ทวงถามเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2541 โดยจำเลยเป็นผู้ทำบันทึก ให้ไว้ กรณีจึงถือได้ว่าโจทก์ร่วมผู้เสียหายได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2541 และเมื่อโจทก์ร่วมร้องทุกข์เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share