แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อพิเคราะห์ถึงความสุจริต อำนาจต่อรอง ความรู้ ความเข้าใจ ความสันทัดจัดเจนความคาดหมายและทางได้เสียทุกอย่างของโจทก์ จำเลยในคดีนี้ตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว ข้อสัญญา ข้อ 7 ที่ห้ามจำเลยบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดและหากจำเลยขายทรัพย์สินก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญา จำเลยจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จตัวแทนแก่โจทก์เสมือนหนึ่งโจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่ติดต่อจัดหาผู้ซื้อได้สำเร็จนั้น เห็นได้ว่าเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้จำเลยปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ เป็นข้อตกลงที่ถือได้ว่าทำให้โจทก์ผู้กำหนดข้อความในสัญญาสำเร็จรูปได้เปรียบจำเลยเกินสมควรจึงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม คงมีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณีตามมาตรา 4วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 240,750 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กรกฎาคม 2547) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกา 50,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ในชั้นนี้คงมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า สัญญาแต่งตั้งตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นสัญญาที่มีข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2546 จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสัญญาแต่งตั้งให้โจทก์เป็นตัวแทนติดต่อและจัดหาผู้ซื้อบ้านเดี่ยว เลขที่ 72 หมู่บ้านศานตินิเวศน์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 42405 ให้แก่จำเลยทั้งสอง ในราคา 7,500,000 บาท โดยจำเลยทั้งสองตกลงจะจ่ายค่าบำเหน็จให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 3 ของราคาทรัพย์ที่ขายได้ สัญญามีกำหนด 10 เดือน นับแต่วันทำสัญญา หลังจากทำสัญญาแล้วโจทก์และจำเลยจะไม่บอกเลิกสัญญานี้ไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ และหากจำเลยมีการจะขายหรือขายหรือแลกเปลี่ยนทรัพย์สินในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่ว่าด้วยกรณีใด ๆ หรือเหตุใดก็ตาม จำเลยยินยอมจ่ายค่าบำเหน็จตัวแทนให้แก่โจทก์โดยพลันตามราคาทรัพย์สินและอัตราค่าบำเหน็จตัวแทนในอัตราร้อยละ 3 ของราคาทรัพย์สินที่ขายได้ คดีนี้โจทก์เพียงแต่ลงโฆษณาขายบ้านเเละที่ดินของจำเลยทั้งสองตาม เท่านั้น แล้วไม่ได้ดำเนินการใด ๆ อีก รอแต่เพียงว่าจำเลยผิดสัญญาโจทก์ก็จะเรียกร้องเอาค่าเสียหาย เป็นการเอาเปรียบจำเลยนั้น ปัญหาว่า สัญญาดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ เห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญาดังกล่าวแม้จำเลยทั้งสองจะเสียเปรียบโจทก์ แต่ข้อตกลงตามสัญญานั้นเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของจำเลยเอง ผลของสัญญากระทบต่อจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.