คำสั่งคำร้องที่ 154/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งหมดเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า ฎีกาโจทก์ที่ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นนำเอาข้อเท็จจริงในทางแพ่งมารับฟังประกอบในการพิจารณาทางอาญาเป็นการไม่ชอบและฎีกาที่ว่า การกระทำของจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางนำสืบของโจทก์จำเลยรับฟังได้ว่า จำเลยได้บังคับขู่เข็ญโจทก์จริง แต่ศาลล่างทั้งสองศาลเห็นว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันทรัพย์สินหรือกระทำไปโดยสุจริตจึงเป็นปัญหาว่าการกระทำของจำเลยตามทางนำสืบเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 หรือไม่ อันเป็นการนำข้อเท็จจริงมาปรับกับข้อกฎหมาย ฎีกาของโจทก์จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 78)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 วรรค 2,391, และ 90
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 76)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด เป็นการยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ฎีกาโจทก์ ข้อ 2.1และข้อ 2.3 ที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวส่วนฎีกาข้อ 2.2 ที่ว่า ศาลชั้นต้นนำคำพิพากษาในคดีแพ่งมาวินิจฉัยในคดีอาญาและศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ เป็นการไม่ชอบนั้นเห็นว่าศาลชั้นต้นเพียงแต่ฟังว่าที่พิพาทในคดีแพ่งและคดีนี้เป็นที่แปลงเดียวกันเท่านั้นแต่เหตุที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องก็เพราะพยานโจทก์ในสำนวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิด แม้ข้อฎีกาดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่อาจเป็นผลให้คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ให้ยกคำร้อง

Share