คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13464/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยพยายามแย่งเอาเงินจากผู้เสียหายไปซึ่งหน้า จำเลยมีความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ แต่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปล้นทรัพย์ โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฉกฉวยซึ่งหน้า แสดงว่าไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่ความผิดฐานนี้รวมความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องมาด้วยแล้ว ดังนั้น ศาลสามารถลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 340, 340 ตรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแรก, 80 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 5 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามชิงทรัพย์ไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจหรือไม่ คำเบิกความของประจักษ์พยานและคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายรับฟังได้ จำเลยพูดขอเงินผู้เสียหายเพื่อไปซื้อสุรา แต่นางถวิลเบิกความ นายแดงเป็นคนแย่งเงินในมือผู้เสียหาย จำเลยยืนดูอยู่ นายมานะเบิกความ หลังจากที่จำเลยขอเงินผู้เสียหายแล้วไม่ให้ จำเลยตบตีผู้เสียหายจนล้มลง คำเบิกความของประจักษ์พยานขัดแย้งกันอยู่ว่าจำเลยแย่งเงินไปจากผู้เสียหายแล้วตบตีผู้เสียหายหรือไม่ ส่วนผู้เสียหายแม้จะไม่ได้มาเบิกความในศาล แต่โจทก์มีคำให้การในชั้นสอบสวน เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับประจักษ์พยานแล้วทำให้เห็นได้ว่าจำเลยเป็นคนเอ่ยปากขอเงินผู้เสียหายไปซื้อสุรา เมื่อผู้เสียหายไม่ให้เงิน จำเลยใช้มือชิงกระเป๋าเงินที่ผู้เสียหายถืออยู่มีเงินภายใน 700 บาท ผู้เสียหายแย่งกระเป๋าเงินคืน คำพยานในส่วนนี้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนเอากระเป๋าเงินไปจากผู้เสียหาย แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่อย่างใด เพราะผู้เสียหายให้การในชั้นสอบสวนนายแดงเป็นคนใช้มือชกถูกที่หัวคิ้วซ้าย และเท้าเตะบริเวณคอ และขึ้นเข่าบริเวณท้องผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้ จ้าง วาน ยุยงส่งเสริมให้นายแดงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแต่อย่างใด การทำร้ายร่างกายจึงเกิดขึ้นจากการกระทำของนายแดงเอง และมิใช่เป็นการทำร้ายร่างกายเพื่อที่จะเอาทรัพย์สินจากผู้เสียหายแต่อย่างใด โดยจะเห็นได้ว่าหลังจากที่นายแดงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแล้วก็มิได้แย่งกระเป๋าเงินคืนจากผู้เสียหายมาไว้ในครอบครอง คงปล่อยให้เรื่องเลิกรากันไป สำหรับบาดแผลที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายพบว่าไม่พบบาดแผลใดๆ หากการที่นายแดงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเพื่อที่จะแย่งกระเป๋าเงินคืนจากผู้เสียหาย นายแดงสามารถกระทำได้ แต่ก็ไม่มีการกระทำอีกต่อไป ดังนั้น การที่นายแดงทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจึงเชื่อได้ว่าเป็นผลจากการที่ผู้เสียหายด่าว่าจำเลยมากกว่าซึ่งเป็นการกระทำตามลำพังของนายแดงเอง ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลย เพราะในเรื่องนี้ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับนายแดงมีพฤติการณ์ที่จะร่วมกันชิงทรัพย์เอาจากผู้เสียหาย เนื่องจากจำเลยกับนายแดงไม่ทราบมาก่อนว่าผู้เสียหายจะเดินผ่านมาบริเวณนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันควัน จำเลยกับนายแดงจึงมิได้มีเจตนาร่วมกันจะมาชิงทรัพย์ของผู้เสียหายแต่อย่างใด ในส่วนของจำเลยลำพังแต่เพียงจำเลยขอเงินผู้เสียหายมาซื้อสุราสักขวดเพียงเท่านี้จำเลยยังไม่มีความผิดอาญาใดๆ แต่หลังจากที่ผู้เสียหายไม่ให้เงินจำเลย จำเลยพยายามแย่งเอาเงินจากผู้เสียหายไปซึ่งหน้า การกระทำในตอนหลังนี้จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามแย่งเอาทรัพย์ไปจากผู้เสียหายอันเป็นความผิดฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์ ซึ่งจากพยานหลักฐานไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายแต่อย่างใด เพราะผู้ใช้กำลังประทุษร้ายคือนายแดงมิใช่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานพยายามวิ่งราวทรัพย์เท่านั้น แต่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาปล้นทรัพย์โดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฉกฉวยซึ่งหน้าแสดงว่าไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ แต่ความผิดฐานนี้รวมความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องมาด้วยแล้ว ดังนั้น ศาลสามารถลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่าถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 80 ฐานพยายามลักทรัพย์ จำคุก 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก

Share