แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำว่า “จำหน่าย” หมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ จำเลยที่ 1 ตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแก่ ส. โดยระบุจำนวน ราคาแน่นอน กับกำหนดเวลาและสถานที่ส่งมอบกันแล้ว และจำเลยที่ 1 ได้ส่งถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวแก่ ส. ถือว่าความผิดข้อหาจำหน่ายสำเร็จแล้ว แม้จะยังมิได้ชำระราคาก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 66 วรรคสอง, 102 วางโทษจำคุกจำเลยทั้งสองตลอดชีวิต จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม ประกอบมาตรา 53 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 33 ปี 4 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า การที่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์เป็นผู้รับมอบถุงพลาสติกสีแดงที่บรรจุเมทแอมเฟตามีนเข้าไปนั่งในรถแกะดูแล้วส่งสัญญาณให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลยทั้งสองถือว่าการซื้อขายยังไม่สมบูรณ์ ความผิดฐานจำหน่ายแมทแอมเฟตามีนยังไม่สำเร็จ เป็นความผิดขั้นพยายามเท่านั้น เห็นว่าพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 บัญญัตินิยามคำว่า “จำหน่ายหมายความว่า ขาย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้ ข้อเท็จจริงรับฟังว่าจำเลยที่ 1 ตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแก่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์โดยระบุจำนวน ราคาแน่นอน กับกำหนดเวลาและสถานที่ส่งมอบกันแล้ว เมื่อถึงเวลานัดหมายจำเลยที่ 2 ถือถุงพลาสติกสีแดงบรรจุเมทแอมเฟตามีนของกลางมาส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ในบริเวณลานจอดรถที่เกิดเหตุและจำเลยที่ 1 ได้ส่งถุงบรรจุเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวแก่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ถือว่าความผิดข้อหาจำหน่ายสำเร็จแล้ว แม้จะยังมิได้ชำระราคาก็ตาม ส่วนที่จำเลยทั้งสองเดินตามจ่าสิบตำรวจสมศักดิ์ขึ้นไปที่ลานจอดรถชั้น 3 เอ แล้วจำเลยที่ 2 ขึ้นไปนั่งที่เบาะด้านหลังรถยนต์ของจ่าสิบตำรวจสมศักดิ์โดยมีจำเลยที่ 1 ยืนอยู่ข้างรถเพื่อรอรับเงินนั้น เป็นอุบายที่จ่าสิบตำรวจสมศักดิ์หาโอกาสเปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินที่รถเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจที่รออยู่เข้าจับกุมจำเลยทั้งสองเท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดสำเร็จแล้ว มิใช่ขั้นพยายามกระทำความผิด และที่จำเลยที่ 2 ฎีกาประการสุดท้ายว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มานั้นหนักเกินไป โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 กำลังตั้งครรภ์และเพิ่งกระทำความผิดครั้งแรกด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาและเป็นคนยากจนขอให้ลงโทษสถานเบา ศาลฎีกาเห็นว่ารัฐมีนโยบายปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอย่างเด็ดขาดโดยเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้ว แต่จำเลยที่ 2 หายำเกรงไม่มุ่งแต่แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงว่าการกระทำดังกล่าวกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมตามมา สังคมขาดความสงบสุข ฉะนั้น เหตุที่จำเลยที่ 2 อ้างมานั้นย่อมรับฟังไม่ขึ้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 มาดังกล่าวนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน