คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7811/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์โดยไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 100,000 บาทโจทก์จึงยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนและขายได้ในราคา 23,364.49 บาท เพราะรถยนต์ที่เช่าซื้อมีสภาพชำรุดทรุดโทรมอันเนื่องมาจากการใช้อย่างไม่ระมัดระวัง เมื่อหักราคารถยนต์ที่โจทก์กำหนดให้ตามคำพิพากษาแล้วยังขาดอยู่เป็นเงิน 76,635.51 บาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดราคาจากการขายรถยนต์ที่เช่าซื้อดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้วและกรณีก็ไม่อาจไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมในชั้นบังคับคดีได้เพราะการบังคับคดีจะต้องอาศัยคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นหลักแห่งการบังคับ ซึ่งไม่มีหนี้ตามฟ้องโจทก์ที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสองต้องชำระแก่โจทก์รวมอยู่ด้วย โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดเป็นคดีนี้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 100,000 บาท และค่าเสียหายเป็นเงิน 40,000 บาทกับค่าเสียหายอีกเดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อหรือใช้ราคาแทนจนเสร็จแต่ไม่เกิน 10 เดือน ต่อมาโจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนมาได้ในสภาพชำรุดทรุดโทรมเนื่องจากจำเลยใช้รถยนต์อย่างไม่ระมัดระวังโจทก์ขายรถยนต์ได้ในราคา 23,364.49 บาท เมื่อหักจากราคารถยนต์ตามคำพิพากษาจำนวน 100,000 บาท แล้วโจทก์ยังคงได้รับความเสียหายเนื่องจากการเสื่อมราคาอยู่อีก 76,635.51 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 76,635.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า โจทก์ไม่มีสิทธิยึดรถยนต์ไปขายทอดตลาดแล้วนำเงินไปหักจากราคารถยนต์ตามคำพิพากษา การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดเป็นคดีนี้ได้หรือไม่ เห็นว่า กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ กล่าวคือ ไม่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยหรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 100,000 บาท โจทก์จึงยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนมาและขายได้ในราคา 23,364.49 บาท เพราะรถยนต์ที่เช่าซื้อมีสภาพชำรุดทรุดโทรมอันเนื่องมาจากการใช้อย่างไม่ระมัดระวัง เมื่อหักจากราคารถยนต์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ตามคำพิพากษาแล้วยังขาดอยู่เป็นเงิน 76,635.51 บาท โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดเป็นเงินจำนวนดังกล่าวจะเห็นได้ว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดราคาจากการขายรถยนต์ที่เช่าซื้อพร้อมดอกเบี้ยซึ่งเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว และกรณีก็ไม่อาจไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมในชั้นบังคับคดีได้ เพราะการบังคับคดีจะต้องอาศัยคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นหลักแห่งการบังคับ ซึ่งไม่มีหนี้ตามฟ้องโจทก์ในคดีนี้ที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระแก่โจทก์รวมอยู่ด้วย ดังนั้น โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดเป็นคดีนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share