คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5451/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สาระสำคัญของการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. 2522 อยู่ที่จำเลยใช้รถผิดประเภท และใช้รถยนต์โดยสารแล่นทับเส้นทางสัมปทานของผู้อื่น อันเป็นความผิดเพราะไม่ได้รับอนุญาตรถยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบการที่ศาลชั้นต้นริบจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงต้องคืนแก่ผู้ร้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาแต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง,225.

ย่อยาว

คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานใช้รถยนต์โดยสารแล่นรับส่งคนโดยสารทับเส้นทางผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางและริบรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน 30-1906กรุงเทพมหานคร ของกลาง คดีถึงที่สุด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถของกลางที่ศาลสั่งริบ และมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ขอให้ศาลสั่งคืนรถของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่ารถของกลางไม่ใช่ของผู้ร้อง ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว ให้คืนรถของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถยนต์ของกลางที่ศาลชั้นต้นพิพากษาริบเป็นของผู้ร้องที่ให้จำเลยเช่าซื้อ จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปใช้ผิดประเภท และแล่นรับส่งคนโดยสารทับเส้นทางสัมปทานของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก โจทก์จึงฟ้องจำเลยในข้อหาใช้รถยนต์โดยสารผิดประเภทและแล่นรับส่งคนโดยสารทับเส้นทางสัมปทานของผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 27, 40, 128, 138 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวและริบรถยนต์ของกลาง คดีถึงที่สุดผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง และวินิจฉัยว่าคดีนี้สาระสำคัญของการกระทำความผิดดังกล่าวอยู่ที่จำเลยใช้รถผิดประเภทและใช้รถยนต์โดยสารแล่นทันเส้นทางสัมปทานของผู้อื่น อันเป็นความผิดเพราะไม่ได้รับอนุญาต ดังนั้นรถยนต์ของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาริบจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง จึงต้องคืนรถยนต์ดังกล่าวแก่ผู้ร้องโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ แม้ผู้ร้องจะมิได้ฎีกาแต่ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา195 วรรคสอง, 225 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้นศาลฎีกาไม่เห็นฟ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share