แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอยื่น อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์และค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในวันที่ยื่นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229ทั้งอุทธรณ์ข้อที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ก็เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยส่วนปัญหาที่ว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 จึงไม่รับอุทธรณ์ และสั่งคำร้องว่าพิเคราะห์แล้วยังไม่มีเหตุสมควร ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า จำเลยยื่นอุทธรณ์ในระหว่างเวลาราชการ การที่จำเลยทั้งสองมิได้วางเงินค่าขึ้นศาลพร้อมค่าฤชาธรรมเนียม ใช้แทนโจทก์ในวันยื่นอุทธรณ์เนื่องจากงบบัญชีประจำวันของศาล ได้สรุปและปิดบัญชีไปก่อนหน้านั้นแล้ว ทำให้ไม่สามารถรับ ค่าฤชาธรรมเนียมของจำเลยทั้งสองไว้ได้ จำเลยทั้งสองจึงได้นำ เงินค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระในวันรุ่งขึ้น จำเลยทั้งสอง จึงยื่นอุทธรณ์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ปัญหาข้อกฎหมายของ จำเลยทั้งสองที่หยิบยกเพื่อให้ศาลสูงวินิจฉัย เป็นสาระอันระคน ปนด้วยข้อเท็จจริงและเนื่องจากจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์พร้อมกับ คำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา และหากศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลชั้นต้นย่อมต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายแก้อันเป็นการ ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ เสียก่อนจึงจะสั่งคำร้องได้ คำสั่งไม่รับอุทธรณ์จึงขัดต่อ บทบัญญัติดังกล่าว ขอศาลฎีกาโปรดหยิบยกอุทธรณ์ของจำเลย ขึ้นพิจารณาต่อไปและหากศาลฎีกาเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์จำเลยทั้งสองไปยัง ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ ด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 67)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน35,984.23 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน4,099.97 บาท นับแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2535 ในต้นเงิน12,696.08 บาท นับแต่วันที่ 3 กันยายน 2535 ในต้นเงิน10,550 บาท นับแต่วันที่ 11 กันยายน 2535 ในต้นเงิน 880.08 บาทนับแต่วันที่ 14 กันยายน 2535 ในต้นเงิน 894.06 บาท นับแต่วันที่ 17 กันยายน 2535 ในต้นเงิน 6,314.04 บาท นับแต่วันที่19 ตุลาคม 2535 ในต้นเงิน 550 บาท นับแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2535เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง(วันที่ 19 พฤศจิกายน 2535) รวมกันต้องไม่เกิน 1,242.19 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขอยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 57,59)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63 แผ่นที่ 3)ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพื่อพิจารณา(อันดับ 70) ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ความว่าจำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์โดยชอบ และได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยอุทธรณ์แก้คดีเสียก่อนจึงจะสั่งชี้ขาดคำร้องได้คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลฎีกายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองขึ้นพิจารณา และหากศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อเท็จจริงก็ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองให้ศาลอุทธรณ์(ที่ถูก ศาลอุทธรณ์ภาค 1) วินิจฉัยต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ เป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ยื่นต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง จึงให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป (อันดับ 75)
ศาลชั้นต้นจึงส่งสำนวนมาศาลฎีกาเพื่อพิจารณา
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมิได้สั่งรับอุทธรณ์และส่งสำเนา คำฟ้องอุทธรณ์แก่โจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ของจำเลยทั้งสองที่ขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล อย่างไรก็ตามคำร้องของ จำเลยทั้งสอง พอแปลได้ว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 การที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 สั่งว่าเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ยื่นต่อ ศาลฎีกา ให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินการต่อไปนั้น จึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ให้ส่งถ้อยคำสำนวน คืนศาลชั้นต้นเพื่อพิจารณาดำเนินการจัดส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์นี้ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาสั่งตามรูปคดีตามกฎหมายต่อไป