คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุ ป. ลูกจ้างของจำเลยทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยชนผู้ตายซึ่งกำลังเดินข้ามถนนอันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลย และได้ครอบครอง ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกล จึงเป็นกรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ดังนั้น จึงต้องฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นร่วมกับ ป. เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง แม้การที่ผู้ตายไม่ข้ามถนนในทางข้ามซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุอันถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม แต่ ป.มีส่วนประมาทมากกว่าเพราะเหตุที่ชนผู้ตายเนื่องจาก ป. ขับรถไม่ชะลอความเร็วในขณะใกล้ถึงทางแยกเป็นสำคัญ การที่ผู้ตายมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหาย ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ได้ โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาของผู้ตาย จำเลยเป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารประจำทางหมายเลขทะเบียน 10-1628 กรุงเทพมหานครขณะเกิดเหตุนายประจวบลูกจ้างจำเลยขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยรับขนส่งคนโดยสารมาถึงบริเวณสี่แยกนานาและไม่ชะลอความเร็วเพื่อให้คนข้ามถนนเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนนายลินพงขณะเดินข้ามถนนได้รับอันตรายสาหัส และถึงแก่ความตาย โจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลผู้ตาย ค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ ค่าทำพิธีกงเต็กและขอคิดค่าขาดไร้อุปการะ 10 ปี รวมค่าเสียหายเป็นเงิน 539,130 บาทขอให้จำเลยชำระเงิน 539,130 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันดังกล่าว และไม่ได้เป็นนายจ้างของนายประจวบเหตุรถยนต์ชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย และเกิดจากความประมาทของผู้ตายเองโจทก์เสียค่าจัดการศพไม่เกิน 20,000 บาทค่าขาดไร้อุปการะไม่เกิน 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 229,665.79 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ขณะเกิดเหตุนายประจวบลูกจ้างจำเลยได้ทำหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารประจำทางอันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลย และได้ครอบครอง ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกลจึงเป็นกรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ดังนั้นจึงต้องฟังได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นร่วมกับนายประจวบ เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง และคดีฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่าเหตุชนผู้ตายเพราะนายประจวบขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดส่วนประเด็นเรื่องค่าเสียหาย โดยจำเลยฎีกาว่าผู้ตายมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายนั้น แม้การที่ผู้ตายไม่ข้ามถนนในทางข้ามซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเหตุอันถือได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วยก็ตาม แต่เห็นว่านายประจวบมีส่วนประมาทมากกว่าเพราะเหตุที่ชนผู้ตายเนื่องจากนายประจวบขับรถไม่ชะลอความเร็วในขณะใกล้ถึงทางแยกเป็นสำคัญ เมื่อผู้ตายมีส่วนประมาทก่อให้เกิดความเสียหายประกอบด้วยซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ศาลมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์มากน้อยเพียงใดก็ได้ โดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณตามมาตรา 223 ที่ศาลล่างทั้งสองลดค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องใช้ให้แก่โจทก์ลง 1 ใน 4 นั้น เป็นประโยชน์แก่จำเลยมากแล้ว ไม่มีเหตุสมควรที่จะลดให้ต่ำลงไปอีก
พิพากษายืน.

Share