คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4951/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบที่ดินพร้อมอาคารพิพาท กับเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายซึ่งขณะยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาท จำเลยมิได้ให้การกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องอันเป็น อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 การที่โจทก์ฎีกาเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การแล้ว ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ ๑ทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น แล้วโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองแถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายเทียบตามอัตราค่าเช่าเดือนละ ๑,๒๐๐ บาท จากจำเลยทั้งสอง กับให้ส่งมอบที่ดินพร้อมอาคารพิพาทคืนแก่โจทก์ จำเลยที่ ๒ ให้การว่าโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยที่ ๒ ปลูกสร้างอาคารในที่ดินของราชพัสดุ แม้จำเลยที่ ๒ จะขอให้ศาลหมายเรียกกรมธนารักษ์เข้ามาเป็นคู่ความ ในคดี และศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว ก็หาใช่กรณีที่จำเลยที่ ๒กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ว่าเป็นของตนเองไม่ เมื่อที่ดินพิพาทอาจให้เช่าในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาทจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ อันเกี่ยวกับดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้น เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และยกฎีกาของโจทก์.

Share