คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3819/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางยังเป็นของผู้ร้องตามข้อสัญญา เพราะผู้ซื้อยังค้างชำระราคาอยู่ แต่ผู้ร้องปล่อยให้ผู้ซื้อค้างชำระราคาอยู่จนถึงวันเกิดเหตุเป็นเวลา 4 ปีเศษแล้ว มิได้บังคับตามสัญญาซื้อขายแก่ผู้ซื้อโดยการบอกเลิกสัญญาและเรียกเอาทรัพย์ที่ขายคืนอย่างใดคงปล่อยเนิ่นนานมาจนกระทั่งจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ซื้อนำรถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดแล้วผู้ร้องก็มอบอำนาจให้ผู้ซื้อนั้นเองมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง ทั้งตามสัญญาซื้อขายผู้ซื้อต้องรับผิดใช้ราคาที่ซื้อจนครบแม้รถยนต์ของกลางจะถูกริบ ดังนี้ การร้องขอคืนรถยนต์ของกลางของผู้ร้อง เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ เพื่อให้ผู้ซื้อได้รับรถยนต์ของกลางคืนไปในภายหลังหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเองไม่ จากพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ซื้อใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกทรายเกินน้ำหนักในทางการค้าของผู้ซื้อ น่าเชื่อว่ากระทำไปตามคำสั่งของผู้ซื้อ ผู้ซื้อจึงเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด เมื่อผู้ร้องขอคืนรถยนต์ของกลางเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ จึงถือได้ว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลาง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ข้อ ๕๖, ๘๓ และริบรถยนต์บรรทุกของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลาง และผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้ออันเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ผู้ร้องใช้สิทธิขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางโดยไม่สุจริต ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะฟังว่านางวิรัตน์ค้างชำระราคาอยู่ ซึ่งมีผลทำให้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่ก็ตาม แต่ผู้ร้องได้ปล่อยให้นางวิรัตน์ค้างชำระราคาอยู่จนถึงวันเกิดเหตุเป็นเวลา ๔ ปีเศษแล้ว ผู้ร้องก็มิได้บังคับตามสัญญาซื้อขายแก่นางวิรัตน์โดยการบอกเลิกสัญญาและเรียกเอาทรัพย์ที่ขายคืนอย่างใด คงปล่อยเนิ่นนานมาจนกระทั่งจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของนางวิรัตน์ได้นำรถยนต์คันนี้ไปกระทำความผิดแล้วผู้ร้องก็มอบอำนาจให้นางวิรัตน์ผู้ซื้อนั้นเองมายื่นคำร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางเป็นคดีนี้ ซึ่งแม้จะฟังว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังคงเป็นของผู้ร้องอยู่ แต่เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับความรับผิดของผู้ซื้อซึ่งต้องรับผิดใช้ราคาที่ซื้อจนครบ แม้รถยนต์บรรทุกของกลางจะถูกริบแล้วก็เห็นว่าการร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางของผู้ร้อง เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อเพื่อให้ผู้ซื้อได้รับรถยนต์บรรทุกของกลางคืนไปในภายหลัง หาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ร้องเองไม่ทั้งจากพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้ซื้อใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกทรายเกินน้ำหนักในทางการค้าของผู้ซื้อ น่าเชื่อว่ากระทำไปตามคำสั่งของผู้ซื้อซึ่งเป็นนายจ้าง ผู้ซื้อจึงเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด เมื่อผู้ร้องขอคืนรถยนต์บรรทุกของกลางเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ จึงถือได้ว่าเป็นการรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางได้
พิพากษายืน.

Share