คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7631/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินของโจทก์มีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่โจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยออกตามทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินของโจทก์ซึ่งกว้างประมาณ 8 เมตร ยาวประมาณ 300 เมตร แล้วผ่านทางพิพาทยาวประมาณ 100 เมตร และผ่านทางสาธารณประโยชน์ยาวประมาณ 100 เมตร สู่ถนนซอยอมรพันธุ์นิเวศน์ 4ทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของจำเลย จึงเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349มีความหมายว่าเมื่อที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้แล้ว เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่จำกัดว่าจะมีสิทธิผ่านที่ดิน ที่ล้อมอยู่เฉพาะที่ดินแปลงที่อยู่ติดกับที่ดินแปลงนั้นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อฟังได้เป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินของโจทก์มีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้โดยผ่านที่ดินของผู้อื่นก่อนแล้วผ่านที่ดินของจำเลยและที่ดินอื่น แม้ที่ดินของจำเลยมิได้อยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งถูกล้อมอยู่ก็มีสิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยออกไปสู่ทางสาธารณะได้ ที่จำเลยฎีกาในส่วนของฟ้องแย้งว่าจำเลยได้รับความเสียหาย100,000 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ทางจำเป็นต้องเลือกทำพอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านโดยให้เสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยให้มีความกว้างถึง 8 เมตร และควรกำหนดให้ทางจำเป็นมีความกว้าง3.50 เมตร ซึ่งพอสมควรที่จะใช้เป็นทางจำเป็นในสภาพที่เป็นถนนในรถยนต์รวมทั้งรถบรรทุกผ่านเข้าออกได้เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 99917โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 76269 ถึง 76269 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 99915 ที่ดินทั้งหมดตั้งอยู่ที่ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร มีอาณาเขตติดต่อกัน โดยที่ดินของโจทก์ที่ 1 ด้านทิศตะวันออกติดต่อกับที่ดินของโจทก์ที่ 3 และที่ดินของโจทก์ที่ 3 ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดต่อกับที่ดินของโจทก์ที่ 2 ขณะโจทก์ทั้งสามซื้อที่ดินดังกล่าวมีทางเข้าออกสู่ถนนซอยอมรพันธุ์นิเวศน์ 4 กว้างประมาณ 8 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตร โดยช่วงแรกติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสามเป็นทางสาธารณะยาวประมาณ 300 เมตร ช่วงต่อมาเป็นทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 76242, 76248 และ 75755 กรุงเทพมหานคร ยาวประมาณ100 เมตรของจำเลย และช่วงต่อมาเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 29087 ซึ่งเป็นทางสาธารณะประโยชน์ยาวประมาณ 100 เมตรออกสู่ถนนซอยอมรพันธุ์นิเวศน์ 4 โจทก์ทั้งสามประสงค์จะใช้ทางดังกล่าวให้รถบรรทุกดินขนดินไปถมที่ดินของโจทก์ทั้งสามเพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัยและได้ติดต่อขออนุญาตจำเลยใช้ทางพิพาทที่ระบายด้วยสีเหลืองในแผนที่ทางพิพาทผ่านเข้าออก แต่จำเลยไม่อนุญาต ที่ดิน ของโจทก์ทั้งสามมีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมายการที่จำเลยไม่ยินยอม ให้รถขนดินบรรทุกดินผ่านทางพิพาทเพื่อนำดินเข้าไปถมที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหายขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทที่ระบายด้วยสีเหลืองตามแผนที่ทางพิพาทเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 ซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 75755, 76248และ 76242 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครกว้างประมาณ 8 เมตร ยาวประมาณ 100 เมตร เป็นทางจำเป็นที่โจทก์ทั้งสามมีสิทธิใช้ผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ทางพิพาทเป็นทางส่วนบุคคล ที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีอาณาเขตติดต่อกันแต่ไม่ได้ตกอยู่ในที่ล้อมของที่ดินแปลงอื่น โจทก์ทั้งสามมีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้โดยผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 99915 ของโจทก์ที่ 3 ออกสู่ทางสาธารณะซอยอมรพันธุ์นิเวศน์ 4 และถนนงามวงศ์วาน ตรงข้ามด้านข้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ โดยผ่านทางระหว่างบ้านเลขที่ 243 และ244 กว้างประมาณ 8 เมตร หรือผ่านทางระหว่างบ้านเลขที่ 248 กว้างประมาณ 12 เมตร นอกจากนี้ด้านทิศใต้ของที่ดินโฉนดเลขที่ 99917ของโจทก์ที่ 1 และที่ดินโฉนดเลขที่ 99915 ของโจทก์ที่ 3 อยู่ติดกับแฟลตที่พักอาศัยของกรมตำรวจมีทางเข้าออกสู่ถนนวิภาวดีรังสิตได้ปรากฎตามแผนที่พิพาทเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 โจทก์ทั้งสามใช้รถบรรทุกสิบล้อบรรทุกดินไปถมที่ดินของโจทก์ทั้งสามผ่านทางพิพาทในเวลาหน้าฝนเป็นเวลา 7 วันทำให้ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อเสียหายมากจำเลยต้องซ่อมทางใหม่ตลอดแนวเขตที่ดินของจำเลยตามแนวเส้นสีเหลืองและทางสีชมพูไปจดซอยอมรพันธุ์นิเวศน์ 4 เป็นเงิน100,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาห้ามโจทก์ทั้งสามเกี่ยวข้องกับทางพิพาทกับให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหาย จำนวน100,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ผู้รับจ้างถมดินของโจทก์ทั้งสามนำรถบรรทุกดินผ่านทางพิพาทเข้าไปถมที่ดินของโจทก์ทั้งสามได้เพียง 9 เที่ยว โดยไม่ได้ทำให้ทางพิพาทเสียหาย จำเลยก็ขัดขวางไม่ให้บรรทุกดินนำดินเข้าไปถมที่ดินของโจทก์ทั้งสามต่อไป ที่จำเลยอ้างว่าเสียค่าซ่อมทาง 100,000 บาท ไม่เป็นความจริงโจทก์ทั้งสามให้ผู้รับจ้างนำรถบรรทุกดินขนดินผ่านทางพิพาทเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2532 จำเลยทราบอยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ว่าจ้างให้ผู้รับจ้างนำดินเข้าไปถมในที่ดินของโจทก์ทั้งสาม จำเลยฟ้องแย้งเมื่อวันที่11 มิถุนายน 2533 เกินกำหนด 1 ปี ฟ้องแย้งของจำเลยจึงขาดอายุความและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ทั้งสาม จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าทางพิพาทตามแผนที่สังเขปหมาย จ.11 แสดงด้วยเส้นสีเหลืองซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 757555 (ที่ถูกคือโฉนดเลขที่ 75755), 76248 และ 76242 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร กว้างประมาณ 8 เมตร เป็นทางจำเป็นของที่ดินโจทก์ทั้ง 5 แปลง ตามโจทก์ที่ดินหมาย จ.1 ถึง จ.5 ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 10,000 บาท แก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสามและจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้ นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่โจทก์ทั้งสามจะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 99917 ตำบลลาดยาวอำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 76269, 76270 และ 76271 ตำบลลาดยาวอำเภอบางเขต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร และโจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 99915 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน(บางชื่อ) กรุงเทพมหานคร ที่ดิน ทั้ง 5 แปลงของโจทก์ทั้งสามมีอาณาเขตติดต่อกันโดยมีที่ดินแปลงอื่นล้อมรอบทุกด้านตามจากที่ดินของโจทก์ทั้งสามด้านทิศตะวันตกมีทางออกสู่ทางสาธารณะถนนซอยอมรพันธ์นิเวศน์ 4 ตามทางที่ระบายด้วยสีบานเย็นและสีเหลืองในแผนที่สังเขปดังกล่าวซึ่งกว้าง 8 เมตร ยาวประมาณ 500 เมตรโดยทางดังกล่าวแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรกจากถนนซอยอมรพันธุ์นิเวศ 4ยาวประมาณ 100 เมตร ถัดมาเป็นทางพิพาทยาวประมาณ 100 เมตรซึ่งเป็นทางส่วนบุคคลของจำเลยอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 76242, 76248และ 75755 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครช่วงสุดท้ายยาวประมาณ 300 เมตร จากทางพิพาทจนจดที่ดินของโจทก์ทั้งสาม
ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยที่ฎีกาว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสมศักดิ์ สุธารสขจรชัย น้องของโจทก์ที่ 1 และที่ดินของกระทรวงการคลังได้สะดวกกว่าออกทางพิพาท เป็นทำนองว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามหรือไม่เสียก่อนเป็นข้อแรกในปัญหานี้ เห็นว่าที่ดินของนายสมศักดิ์ และกระทรวงการคลังดังกล่าวมิใช่ที่ดินของโจทก์ทั้งสาม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยออกตามทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินของโจทก์ทั้งสามซึ่งกว้างประมาณ 8 เมตร ที่ระบายด้วยสีบานเย็นยาวประมาณ 300 เมตรแล้วผ่านทางพิพาทที่ระบายด้วยสีเหลืองยาวประมาณ 100 เมตร และผ่านทางสาธารณประโยชน์ที่ระบายด้วยสีบานเย็นยาวประมาณ 100 เมตรสู่ถนนซอยอมรพันธุ์นิเวศน์ 4 ตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.11ทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของจำเลยจึงเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสาม
ที่จำเลยฎีกาต่อไปว่า ทางจำเป็นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 จะต้องเป็นกรณีที่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามถูกล้อมรอบโดยที่ดินแปลงอื่นจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้และที่ดินแปลงอื่นที่ล้อมรอบที่ดินของโจทก์ทั้งสามจะต้องมีแปลงใดแปลงหนึ่งเป็นของจำเลยอยู่ด้วย โจทก์ทั้งสามจึงจะใช้สิทธิฟ้องให้จำเลยเปิดทางจำเป็นบนที่ดินของจำเลยให้เป็นประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสามได้ แต่ทางพิพาทที่จำเลยเป็นเจ้าของมิได้ล้อมรอบที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยแก่โจทก์ทั้งสามได้ นั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 บัญญัติว่า”ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางสาธารณะได้ไซ้ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้” ศาลฎีกาเห็นว่าบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมีความหมายว่าเมื่อที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้แล้ว เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่จำกัดว่าจะมีสิทธิผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่เฉพาะที่ดินแปลงที่อยู่ติดกับที่ดินแปลงนั้นเท่านั้นดังนั้นเมื่อฟังได้เป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามมีที่ดินของผู้อื่นล้อมรอบอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้โดยผ่านที่ดินของผู้อื่นก่อนแล้วผ่านที่ดินของจำเลยและที่ดินอื่นแม้ที่ดินของจำเลยมิได้อยู่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งถูกล้อมอยู่ก็มีสิทธิใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินของจำเลยออกไปสู่ทางสาธารณะได้
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า แม้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น โจทก์ทั้งสามก็มีเพียงสิทธิในการใช้ทางพิพาทโดยพอสมควรแก่ความจำเป็นเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ไม่อาจใช้รถบรรทุกดินวิ่งบนทางพิพาทได้ การที่โจทก์ทั้งสามให้รถบรรทุกสิบล้อขนดินผ่านไปบนทางพิพาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทของจำเลยแม้ศาลพิพากษาในชั้นที่สุดว่าโจทก์ทั้งสามมีสิทธิใช้ทางพิพาทได้อย่างทางจำเป็น โจทก์ทั้งสามก็ไม่มีสิทธิใช้ทางโดยประการที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางพิพาทได้ ไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะพิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นที่โจทก์จะใช้เข้าออกไปยังที่ดินของโจทก์ทั้งสามได้ นั้น ฎีกาของจำเลยข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่า โจทก์ทั้งสามได้ทำให้ทางพิพาทของจำเลยเสียหายหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย เชื่อได้ว่าความเสียหายของทางพิพาทตามที่ปรากฎในภาพถ่ายหมาย ล.6 ภาพที่ 2 เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นในภายหลัง มิใช่เกิดขั้นจากการที่โจทก์ทั้งสามนำรถบรรทุกดินผ่านทางพิพาทเข้าไปยังที่ดินของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
ส่วนที่จำเลยฎีกา ในส่วนของฟ้องแย้งว่าจำเลยได้รับความเสียหาย100,000 บาท ไม่ใช่ 10,000 บาท ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้นเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงคดีของจำเลยมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อย่างไรก็ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาทางพิพาทกว้างประมาณ8 เมตร เป็นทางจำเป็นของที่ดินของโจทก์ทั้งสามนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าทางจำเป็นต้องเลือกทำพอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่านโดยให้เสียหายแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลยให้มีความกว้างถึง 8 เมตรและควรกำหนดให้ทางจำเป็นมีความกว้าง 3.50 เมตร ซึ่งพอสมควรที่จะใช้เป็นทางจำเป็นในสภาพที่เป็นถนนให้รถยนต์รวมทั้งรถบรรทุกผ่านเข้าออกได้เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ทางพิพาทซึ่งระบายสีเหลืองตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.11 กว้าง 3.50 เมตร วัดจากแนวขอบทางพิพาทด้านทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออกยาวประมาณ 100 เมตร ซึ่งอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 76242, 76248 และ 75755 ตำบลลาดยาวอำเภอบางเขต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 99917 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ที่ 1 และที่ดินโฉนดเลขที่ 76269, 76270 และ76271 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ที่ 2 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 99915 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน(บางซื่อ) กรุงเทพมหานครของโจทก์ที่ 3 และให้ยกฎีกาของจำเลย

Share