คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกัน แล้วโจทก์(ภริยา) ได้โอนกรรมสิทธิที่ดินของตนให้จำเลย(สามี)แล้วทำหนังสือสละทรัพย์สินส่วนของตนให้แก่จำเลยโดยระบุไว้แจ้งชัดว่าสละให้เพราะจะไปอยู่กินกับชายชู้ แล้วโจทก์กับจำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดกันโดยโจทก์ได้แสดงเจตนาเมื่อจดทะเบียนหย่ายืนยันสละสิทธิของโจทก์ในทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยกล่าวว่าไม่มีอะไรจะแบ่งกันแล้วดังนี้ ย่อมฟังได้ว่าการหย่าและแบ่งทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้วโจทก์จะกลับรื้อฟื้นฟ้องร้องว่ายังไม่ได้แบ่งทรัพย์กันนั้นไม่ได้

ย่อยาว

คดีได้ความว่า โจทก์จำเลยได้เสียเป็นผัวเมียกันมาแล้ว 8 ปี จึงจดทะเบียนกันเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2494 ก่อนจดทะเบียนสมรสต่างมีทรัพย์สินด้วยกัน

เมื่อจดทะเบียนสมรสกันแล้วโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งหมดให้จำเลย แล้วโจทก์ได้ทำหนังสือสละทรัพย์สินของโจทก์ให้แก่จำเลยทั้งสิ้น โดยกล่าวไว้ในหนังสือนั้น ใจความว่าโจทก์จะไปอยู่กินกับนายแก้วคำตุ้ย ซึ่งเป็นชู้ของโจทก์ไม่อยู่กินกับจำเลยอีกต่อไป รุ่งขึ้นโจทก์จำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากเป็นสามีภริยากัน และให้ถ้อยคำตามที่นายทะเบียนบันทึกไว้ด้านหลังว่า “ระหว่างที่อยู่ร่วมกันไม่มีบุตรด้วยกัน และไม่มีทรัพย์สินที่จะแบ่งกันแต่อย่างใด” ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขอแบ่งทรัพย์ 4 อันดับครึ่งหนึ่งโดยอ้างว่าทรัพย์ทั้งนั้นเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยและว่าต่างฝ่ายต่างมีสินเดิม

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ได้สละทรัพย์ตามฟ้องให้จำเลยแล้ว ซึ่งเป็นการตอบแทนที่จำเลยไม่ฟ้องโจทก์ที่เป็นชู้กับนายแก้ว

ศาลเชียงใหม่สอบถามเห็นว่าโจทก์จำเลยรับกันไม่มีประเด็นจะต้องสืบต่อไป สั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งทรัพย์ตามบัญชีอันดับ 1, 2 เฉพาะที่เป็นส่วนของโจทก์ยกให้จำเลยกับทรัพย์อันดับ 4 ให้โจทก์ครึ่งหนึ่งโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาด

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่านิติกรรมทั้ง 2 ฉบับนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสมบูรณ์บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์อันดับ 1, 2 และ 4 จากจำเลย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่า จะวิเคราะห์เอกสารลงวันที่ 9 มิถุนายน 2495 ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อเป็นสัญญาที่สามีภริยาได้ทำให้ไว้ต่อกันในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันอยู่ภริยาก็ย่อมจะบอกล้างเสียได้ใน 1 ปี นับแต่วันขาดจากสามีภริยากันบันทึกด้านหลังทะเบียนลงวันที่ 10 มิถุนายน 2495 เป็นการกระทำของนายทะเบียนสมรสซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะสงเคราะห์ให้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ไม่ และโจทก์ยังมีสิทธิบอกล้างอยู่ จึงเห็นควรพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ที่โจทก์ได้แสดงเจตนาเมื่อจดทะเบียนหย่ายืนยันสละสิทธิของโจทก์ในทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยกล่าวว่าไม่มีอะไรจะแบ่งกันแล้วดังนี้ย่อมฟังได้ว่าการหย่าและแบ่งทรัพย์ระหว่างโจทก์จำเลยได้เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์จะกลับรื้อฟื้นฟ้องร้องในทางที่ว่ายังไม่ได้แบ่งทรัพย์กันนั้นฟ้องร้องไม่ขึ้น

พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกฟ้องโจทก์

Share