คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ท้ากันให้พนักงานป่าไม้ชี้ที่พิพาท ถ้าเป็นป่าสงวน โจทก์ยอมแพ้ถ้าไม่เป็นป่าสงวน จำเลยยอมแพ้ ทางราชการแจ้งว่าการสงวนป่ารายนี้ทางราชการสั่งระงับแล้ว ดังนี้จำเลยต้องแพ้ ศาลพิพากษาขับไล่จำเลย

ย่อยาว

คดีนี้พิพาทกันเรื่องที่ดิน ตำบลท่าไม้รวก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่รวม 10 ไร่ ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ ได้ให้จำเลยเช่าไปทำไร่เมื่อ พ.ศ. 2496 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2499 จำเลยได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์และไม่ชำระค่าเช่า แล้วโจทก์ก็เข้าทำที่รายนี้โดยตัดฟันต้นฝ้ายอันไม่มีประโยชน์ จำเลยกลับไปร้องต่อเจ้าพนักงานหาว่าโจทก์ทำให้ทรัพย์ของจำเลยเสียหาย เพราะเป็นที่ของจำเลย ดังนี้โจทก์จึงต้องฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินรายนี้เป็นของโจทก์ขับไล่จำเลย และบริวารออกไป

จำเลยแก้ว่า ที่บริเวณนี้ประมาณ 1,000 ไร่ กรมป่าไม้สงวนไว้เพื่อทำสวนป่าเพาะพันธุ์ไม้ เมื่อ พ.ศ. 2491 พนักงานป่าไม้ได้ชักชวนราษฎรให้เข้าไปก่อสร้าง โดยยอมให้ปลูกพันธุ์ไม้ล้มลุกทำกินไปจนกว่าพันธุ์ไม้ที่เจ้าพนักงานปลูกจะโต จำเลยและราษฎรอื่นราว60 ครัวได้เข้าทำตามคำชักชวนโดยเฉพาะจำเลยเป็นเนื้อที่ 10 ไร่เศษการที่จำเลยต้องเสียเงิน 150 บาท และลงชื่อในสัญญาเช่าให้โจทก์เพราะถูกโจทก์หลอกลวง จึงขอให้ยกฟ้อง

ฐานพิจารณา ศาลชั้นต้นกะประเด็นให้โจทก์นำสืบก่อน ถึงวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยตกลงกันขอให้ศาลทำแผนที่วิวาท โดยให้เจ้าพนักงานป่าไม้จังหวัดเพชรบุรี หรือเจ้าพนักงานป่าไม้อำเภอท่ายางไปชี้ด้วยว่าที่รายวิวาทที่โจทก์จำเลยนำชี้นี้เป็นที่ป่าสงวนหรือมิใช่โดยโจทก์จำเลยท้ากันว่า ถ้าเจ้าพนักงานป่าไม้จังหวัดเพชรบุรีหรือเจ้าพนักงานป่าไม้อำเภอท่ายางยืนยันว่าที่วิวาทอยู่ในเขตป่าสงวนโจทก์ยอมแพ้ ไม่ขอเกี่ยวข้อง ยอมให้จำเลยอยู่ทำกินได้ต่อไป แต่ถ้าที่รายพิพาทนี้ไม่อยู่ในเขตป่าสงวนแล้ว จำเลยก็ยอมแพ้และยอมออกจากที่รายวิวาท ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน

ต่อมาศาลชั้นต้นได้รับหนังสือที่ 304/2499 ลงวันที่ 21 กันยายน 2499 ตอบหนังสือของศาลที่ 918/2499 ลงวันที่ 13 กันยายน 2499 เรื่องขอให้ไปชี้เขตตามที่คู่ความท้ากันนั้นว่า การสงวนป่าไม้รายนี้กระทรวงเกษตรได้สั่งระงับแล้ว ศาลจึงให้โจทก์จำเลยทราบและเห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำแผนที่วิวาท และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน เพราะจำเลยขอให้ศาลพิพากษาคดีไป ซึ่งศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยก็รับอยู่ว่าที่ ๆ จำเลยต่อสู้เป็นที่แปลงที่โจทก์ฟ้อง การทำแผนที่จึงเพื่อให้ เจ้าพนักงานป่าไม้มาชี้และยืนยันว่าเป็นเขตสงวนหรือไม่เท่านั้นเมื่อเจ้าพนักงานป่าไม้แจ้งมาว่า การสงวนป่าไม้ทางราชการได้สั่งระงับแล้ว การก็เป็นไปตามคำท้าของโจทก์จำเลย จึงพิพากษาว่า ที่รายนี้โจทก์มีสิทธิครอบครองให้ขับไล่จำเลยและบริวาร

จำเลยอุทธรณ์

ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อที่ว่า “ข้อท้าของโจทก์จำเลยจะต้องมีการทำแผนที่วิวาท โดยให้เจ้าพนักงานป่าไม้ชี้ว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนหรือไม่ เมื่อยังไม่มีการทำแผนที่ ศาลจะชี้ขาดตามคำท้าของคู่ความยังไม่ได้ เพราะมิได้ดำเนินไปตามเงื่อนไขแห่งคำท้าซึ่งเป็นข้อกฎหมาย” ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ เป็นเรื่องนอกสำนวนนอกประเด็น ไม่รับ

โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งในการรับอุทธรณ์ของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 26

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า การกำหนดเขตป่าสงวนเป็นอันระงับ ตามหนังสือของเจ้าพนักงานป่าไม้จังหวัดดังกล่าวแล้วก็ไม่จำต้องทำแผนที่ และศาลชอบที่จะพิพากษา ให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า จึงพิพากษายืน

จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อมาได้ในฐานะผู้อนาถา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวน และฟังคำแถลงคารมของทนายจำเลยแล้วปรึกษาเห็นว่า ที่ดินแปลงที่โจทก์ฟ้องนั้น จำเลยให้การรับรองแต่มีข้อต่อสู้ว่าไม่ใช่ของโจทก์ ซึ่งเป็นอันชัดเจนว่าเป็นที่แปลงเดียวกันโดยไม่มีอะไรโต้แย้งคงเถียงกันว่า โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ จำเลยอ้างว่าเป็นที่ ๆ จำเลยครอบครองทำกินมา โดยเจ้าพนักงานป่าไม้อนุญาต เพราะเป็นเขตป่าสงวน

พิเคราะห์ดูคำท้าของโจทก์จำเลยดังปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2499 นั้นโดยละเอียดแล้วหามีข้อความใดปรากฏหรือแม้แต่เหตุผลว่า เป็นไปดังจำเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาแต่อย่างใดไม่ พิจารณาข้อต่อสู้ของจำเลยก็จะปรากฏชัดเจนทีเดียวว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิตามฟ้องของโจทก์นั้น จำเลยอ้างอำนาจของคนที่ 3 คือ ของกรมป่าไม้ขึ้นมายันโจทก์ที่ฟ้องว่าจำเลยเช่าโจทก์การที่จำเลยชำระเงินให้โจทก์ก็ดี การลงชื่อในสัญญาเช่าก็ดีเป็นเพราะจำเลยถูกโจทก์หลอกลวง ดังนั้น เมื่อที่ดินรายพิพาทตลอดทั้งบริเวณ ไม่ใช่ที่หวงห้าม คือ ไม่ใช่เขตป่าสงวนดังคำท้าของจำเลย จำเลยก็ต้องแพ้คดีโจทก์ไม่มีปัญหา จำเลยจะบิดผันคดีโดยแยกแยะข้อเท็จจริงแห่งคำท้าออกไปอีกเพื่อกลับคำ ถ้าทำได้ย่อมหามีที่สิ้นสุดไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแพ้คดี ชอบแล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย

Share