คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานปากเดียวที่รู้เห็นว่าจำเลยกับพวกร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ได้ยินยอมด้วยก็ตาม แต่เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีมีเหตุให้ควรเชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามความจริง กรณีก็ฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ร่วมกระทำผิด(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงผู้เสียหาย อายุ 14 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ให้จำคุก 15 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ และผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราหรือไม่จะได้วินิจฉัยรวมกันไป เห็นว่าแม้โจทก์มีพยานคือตัวเด็กหญิงยินดี เท็งจันทร์ ผู้เสียหายปากเดียวที่รู้เห็นว่าจำเลยร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ได้ยินยอมด้วยก็ตาม แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายเป็นเด็กอายุเพียง 14 ปี รู้จักกับจำเลยและนายร่อหนีอยู่บ้านใกล้กัน ตอนแรกที่เห็นจำเลยกับนายร่อหนียืนอยู่ที่ประตูโรงเรียนก็ไม่เกิดความกลัวว่าจะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น ครั้นถูกจับข้อมือดึงลากไปจึงเกิดความกลัวแต่ไม่กล้าร้องให้ช่วยเหลือเพราะจำเลยกับนายร่อหนีเป็นชายถึง 2 คน ขณะที่ผู้เสียหายถูกนายร่อหนีและจำเลยข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายก็ยังมีความกลัวและอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หลังจากถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้ว ผู้เสียหายคงจะอับอายและกลัวมารดาจะดุด่าเฆี่ยนตีจึงไม่กล้าบอกมารดาแต่มีอาการซึมเศร้าจนกระทั่งมารดาสงสัยและสอบถามผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงได้เล่าให้ฟังผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยย่อมจะไม่เบิกความปรักปรำจำเลย เชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความไปตามความจริง จึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่ได้ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา พยานฐานที่อยู่ของจำเลยเพียงว่าไปดูภาพยนตร์ด้วยแต่ไม่ได้พบผู้เสียหายจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยอายุ 17 ปี ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 บัญญัติไว้ว่าถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ลงกึ่งหนึ่งแล้ว ให้จำคุกจำเลย 7 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์’.

Share