คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3600/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรรมการของบริษัทผู้ได้รับมอบอำนาจให้ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแทนบริษัท ไม่ต้องรับผิดตามกรมธรรม์ร่วมกับบริษัท
โจทก์ฎีกาว่าตามพยานหลักฐานของโจทก์พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริง จำเลยมิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้โจทก์เสียหายยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มตามฟ้อง ไม่ใช่ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นฎีกาที่ไม่ได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 เพราะมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ผู้รับประกันภัยและจำเลยที่ ๒ กรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ยรวม ๑๐๓,๘๙๔.๕๐ บาท เนื่องจากรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๑ เสียหายเพราะชนกับรถของผู้อื่น
จำเลยทั้งสองให้การว่ากรมธรรม์ประกันภัยเป็นโมฆะเพราะโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทและไม่มีส่วนได้เสีย จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพราะทำแทนจำเลยที่ ๑ ค่าซ่อมรถไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท คำฟ้องในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์ไม่เคยทวงถามจึงคิดดอกเบี้ยจากวันเกิดเหตุไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการจำเลยที่ ๑ ร่วมกันใช้เงิน ๑๕๒,๔๖๐ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงิน ๕๗,๔๖๐ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในปัญหาว่าจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทกับจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นกรรมการผู้ได้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อในกรมธรรม์ประกันภัยแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนิติบุคคลการกระทำของจำเลยที่ ๒ มิใช่ทำเป็นส่วนตัว โจทก์ก็ทราบดีว่าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาจำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเต็มตามฟ้องนั้น โจทก์บรรยายความว่าดังที่โจทก์เบิกความและปรากฏตามพยานหลักฐานของโจทก์แล้ว พึงเห็นได้ว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นความจริงและน่าสมควรกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับซึ่งโดยพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองก็มิได้จัดการให้โจทก์ตามที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดตามสัญญา การละเลยของจำเลยทั้งสองเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์ยิ่งกว่าที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์เต็มจำนวนหนี้ตามฟ้องหาใช่เป็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแก้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยเหตุอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นว่าไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่ากระทะล้อรถและตัวถังรถน่าจะมิได้เสียหายเนื่องจากถูกรถผู้อื่นชนจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันพิพาท ค่าซ่อมหัวเก๋งรถ ๓๐,๐๐๐ บาทเหมาะสมแล้ว
พิพากษายืน.

Share