คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7599/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่ปี 2536เป็นต้นไปก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์เมื่อเดือนมิถุนายน2536 ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่ปี2536 ซึ่งมีความหมายว่านับแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 เป็นต้นไป จึงไม่ชอบเพราะเป็นการกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายก่อนวันทำละเมิด ปัญหานี้แม้คู่ความมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง เนื่องจากตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปไถที่ดินวันใดแน่ จึงกำหนดให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2536 เป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 280 ไร่ ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก. )เลขที่ 3099 เนื้อที่ 41 ไร่ 3 งาน 83 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 1 และ น.ส.3 ก. เลขที่ 3100เนื้อที่ 38 ไร่ 3 งาน 20 ตารางวา ให้โจทก์ที่ 2 ส่วนที่ดินเนื้อที่ 200 ไร่ ยังไม่ได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แต่ให้บุคคลอื่นเช่าทำไร่ ต่อมาวันที่ 9 สิงหาคม 2536โจทก์ที่ 1 จดทะเบียนให้ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 3099 แก่โจทก์ที่ 3 เมื่อเดือนมิถุนายน2536 จำเลยทั้งสองและบริวารร่วมกันบุกรุกเข้าไปไถที่ดินปลูกอ้อยในที่ดินทั้งสามแปลงโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แจ้งให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดิน แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามทำให้โจทก์ทั้งสามขาดประโยชน์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสามปีละ 40,000 บาท นับแต่ปี 2536เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดิน

ระหว่างพิจารณา นางลำแพน กิจสุวรรณ์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมกับบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นเงินปีละ 15,000 บาทนับแต่ปี 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมจะออกไปจากที่ดินพิพาท ส่วนโจทก์ที่ 3 ให้ยกฟ้อง

จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทการที่จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและอ้างว่าเป็นของตนเป็นการละเมิดจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ปีละ 15,000 บาท นั้น เหมาะสมแล้ว

วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 นับแต่ปี 2536เป็นต้นไป ซึ่งมีความหมายว่านับแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 เป็นต้นไปนั้น เห็นว่าแม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ทั้งสามจะขอให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายนับแต่ปี 2536เป็นต้นไปก็ตาม แต่ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสามอ้างว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปไถที่ดินของโจทก์ทั้งสามเมื่อเดือนมิถุนายน 2536 ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายก่อนจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมทำละเมิดไม่ชอบปัญหานี้แม้คู่ความมิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง เนื่องจากตามคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามไม่ปรากฏแน่ชัดว่าจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมบุกรุกเข้าไปไถที่ดินวันใดแน่ จึงสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2536 เป็นต้นไป

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมร่วมกันใช้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมจะออกไปจากที่ดินพิพาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share