คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2502/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลยโดยอ้างว่าโจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างนับตั้งแต่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงาน เพราะคำสั่งเลิกจ้างมิได้มีกรรมการอื่นของจำเลยที่ 1 ลงชื่อด้วย และมิได้ประทับตราของจำเลยที่ 1 จึงเป็นโมฆะไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 และโจทก์ คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจำเลยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำปฏิบัติหน้าที่แผนกแม่บ้านประจำโรงแรมและภัตตาคารของบริษัทจำเลยที่ ๑ ได้รับค่าจ้างเดือนละ ๒,๕๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้ทำหนังสือของจำเลยที่ ๑ สั่งให้โจทก์ออกจากงาน แต่หนังสือของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวไม่มีกรรมการอื่นลงชื่อและไม่มีตราของบริษัทจำเลยที่ ๑ ประทับให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบังคับไว้ ถือว่าเป็นโมฆะไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ และโจทก์ โจทก์จึงยังมีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างนับแต่วันที่จำเลยที่ ๒ มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานถึงวันฟ้องเป็นเวลา๒๓ เดือน เป็นเงิน ๕๗,๕๐๐ บาท ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยทั้งสองให้การว่า การสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเป็นการกระทำที่ถูกต้องและมีผลบังคับตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายจ้างโจทก์มีอำนาจที่จะเลิกจ้างโจทก์ได้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๔๖ คำสั่งดังกล่าวไม่มีกฎหมายกำหนดแบบและวิธีไว้ จึงเป็นอำนาจของจำเลยที่ ๒ ในฐานะกรรมการผู้จัดการกระทำได้ คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่เรียกเงินค่าจ้างนั้นหมายรวมถึงค่าชดเชยตามกฎหมายด้วย จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ ๔๗ (๑) ถึง (๖) ที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยที่ ๑ ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวันเป็นเงิน ๗,๕๐๐ บาทสำหรับจำเลยที่ ๒ มิใช่นายจ้างโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๗,๕๐๐ บาทแก่โจทก์ และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกแม่บ้าน ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๑๘ ต่อมาวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.๓ ซึ่งเป็นผลให้โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างนับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลยโดยอ้างว่า โจทก์ยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างนับตั้งแต่จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานเพราะคำสั่งเลิกจ้างนั้นมิได้มีกรรมการอื่นของจำเลยที่ ๑ ลงชื่อด้วย ทั้งมิได้ประทับตราของบริษัทจำเลยที่ ๑ จึงเป็นโมฆะไม่ผูกพันจำเลยที่ ๑ และโจทก์ ฟ้องโจทก์ไม่ได้ตั้งประเด็นแห่งข้อหาในเรื่องเรียกค่าชดเชยจากจำเลยเพราะเหตุที่จำเลยที่ ๑เลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานแต่อย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าชดเชยจากจำเลยได้หรือไม่ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิด และพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ นอกฟ้องนอกประเด็นการมิชอบ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ เสียด้วย

Share