แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำให้การจำเลย คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ตลอดจนรายงานกระบวนพิจารณาของ ศาลชั้นต้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ ณ ที่ใดเลยว่า ร. ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามได้สาบานตนหรือปฏิญาณตนว่าจะแปลถ้อยคำของจำเลยให้ถูกต้องและทำหน้าที่โดยสุจริตใจ ไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอนสิ่งที่แปลและก็มิได้ลงลายมือชื่อในคำแปลนั้นเลย การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 13 วรรคสอง ชอบที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 ประกอบด้วยมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 12 (1), 18 วรรคสอง, 62, 81 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 264, 268 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาลงโทษจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นบุคคลต่างด้าวสัญชาติอิหร่าน เชื้อชาติอิหร่าน มีภูมิลำเนาอยู่นอกราชอาณาจักรไทย จำเลยได้เดินทางจากประเทศอิหร่านเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2543 เวลากลางวันเข้ามาในราชอาณาจักรไทยทางชายแดน และอยู่ในราชอาณาจักรไทยจนกระทั่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2543 โดยจำเลยไม่สามารถพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้ ฉะนั้นในการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2543 ศาลชั้นต้นจึงต้องมีล่ามแปลและล่ามคนนั้น คือ นางเรไร โภคาพันธ์ ซึ่งเป็นทนายความของจำเลยตามที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ตามฎีกาของจำเลยนั้น เห็นได้ว่า เป็นกรณีที่จำเลยอ้างว่าล่ามแปลความหมายผิดไม่ถูกต้องพอจะอนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 นั่นเอง ด้วยเหตุดังกล่าว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยจึงมีว่า ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวมาแล้วว่า จำเลยเป็นคนต่างด้าวไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยได้ และต้องมีล่ามแปล ดังนั้นศาลชั้นต้นจะต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 วรรคสอง ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาได้ตรวจคำให้การของจำเลย คำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ตลอดจนรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 13 ตุลาคม 2543 แล้ว ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ ณ ที่ใดเลยว่า นางเรไรผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามได้สาบานตนหรือปฏิญาณตนว่าจะแปลถ้อยคำของจำเลยให้ถูกต้องและทำหน้าที่สุจริตใจ ไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอดสิ่งที่แปล และนางเรไรก็มิได้ลงลายมือชื่อในคำแปลนั้นเลย การดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2543 นั้น จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 วรรคสอง ชอบที่จะให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 208 ประกอบด้วยมาตรา 225 และในชั้นนี้ยังไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การจำเลย โดยให้ล่ามปฏิบัติให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 13 วรรคสอง แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.