แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา มีทางที่จะชนะคดี โปรดอนุญาต ให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 111)
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์หากจำเลยที่ 1 ไม่ยินยอมก็ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้โจทก์จำเลย หย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ โดยให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ 2,000 บาท นับตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าทดแทนเป็นเงิน 300,000 บาท พร้อมด้วย ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงเบญจรัตน์กิจรุ่งโรจนาพร กับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทดแทนให้โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้อง (27 กันยายน 2533) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องดังกล่าว(อันดับ 109,108)
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยทั้งสองได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ โดยได้นำหลักทรัพย์มาวางเป็นหลักประกัน และได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้กับศาลชั้นต้น (อันดับ 87,98 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
การหย่าโดยคำพิพากษามีผลแต่เวลาที่คำพิพากษาถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1531 วรรคสองคดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์ยังไม่อาจบังคับคดีเกี่ยวกับการหย่าตลอดจนการใช้อำนาจปกครองบุตรและการจ่ายค่าทดแทน ซึ่งเป็น ผลต่อเนื่องจากการหย่าตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสอง ไม่จำต้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างฎีกา ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ