คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7519/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งมรดกส่วนของ ม. ตามโฉนดตราจองที่ดินและบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแก่โจทก์หนึ่งในแปดส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในชั้นบังคับคดีแม้โจทก์จะได้ไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนของ ม. หนึ่งในแปดส่วนแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการบังคับคดีส่วนหนึ่งของการบังคับตามคำพิพากษาของศาลเท่านั้น โจทก์จึงยังมีสิทธิขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับให้จำเลยแบ่งตัวทรัพย์มรดกได้ เมื่อโจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่าไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทได้ทั้งสภาพของตัวทรัพย์ก็ไม่อาจที่จะแบ่งกันเช่นนี้โจทก์ก็ชอบที่จะให้นำที่ดินและบ้านออกประมูลกันระหว่างทายาท หรือนำออกขายทอดตลาดได้แต่การที่จะให้ประมูลกันระหว่างทายาทก็น่าจะเป็นปัญหาได้เพราะทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียมิได้เข้ามาในคดีทุกคน ดังนั้นสมควรให้นำที่ดินและบ้านออกขายทอดตลาด

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยขอให้แบ่งมรดกของนางมายในส่วนของนางแก้วตามโฉนดตราจองเลขที่ 4919 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง และให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนที่ดินแก่โจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 4 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้จำเลยแบ่งมรดกส่วนของนางมาย ใสยิ่ง ตามโฉนดตราจองเลขที่ 4919และบ้านเลขที่ 30 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ 1 ใน 8 ส่วนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ระหว่างบังคับคดี จำเลยถึงแก่กรรม นางพวง ใสยิ่ง ภริยาจำเลยยื่นคำร้องขอรับมรดกความในฐานะทายาทจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า โจทก์ได้นำคำพิพากษาไปจดทะเบียนรับมรดกใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนของนางมายตามโฉนดตราจองเลขที่ 4919 จำนวน 1 ใน 8 ส่วนตามคำพิพากษาแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมแบ่งแยกที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ ขอให้นัดจำเลยมาสอบถามเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมโดยเรียกจำเลยมาสอบถาม โจทก์แถลงว่าเมื่อไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินและบ้านได้ขอให้นำออกขายทอดตลาดจำเลยแถลงว่า โจทก์จำเลยไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินและบ้านดังกล่าวกันได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเมื่อโจทก์ได้ไปดำเนินการจดทะเบียนรับมรดกใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนของนางมายจำนวน 1 ใน 8 ส่วนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรียบร้อยแล้วส่วนจะตกลงแบ่งที่ดินและบ้านดังกล่าวกันอย่างไรต่อไปเป็นเรื่องที่โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมจะไปว่ากล่าวกันในระหว่างเจ้าของรวมคนอื่นต่างหากจากคดีนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย โดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์โจทก์ที่ว่าโจทก์มีสิทธิบังคับคดีขอให้แบ่งที่ดินพิพาทตามโฉนดตราจองเลขที่ 4919 หมู่ที่ 4 ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์และบ้านเลขที่ 30 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว โดยการขายทอดตลาดได้หรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้จำเลยแบ่งมรดกส่วนของนางมายตามโฉนดตราจองที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแก่โจทก์หนึ่งในแปดส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ในชั้นบังคับคดีแม้โจทก์จะได้ไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินพิพาทใส่ชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินส่วนของนางมายหนึ่งในแปดส่วนแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงการบังคับคดีส่วนหนึ่งของการบังคับตามคำพิพากษาศาลฎีกาเท่านั้น โจทก์จึงยังมีสิทธิขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนที่บังคับให้จำเลยแบ่งตัวทรัพย์มรดกได้เมื่อโจทก์จำเลยแถลงร่วมกันว่าไม่สามารถตกลงแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทได้ ทั้งสภาพของตัวทรัพย์ก็ไม่อาจที่จะแบ่งกันเช่นนี้ โจทก์ก็ชอบที่จะให้นำที่ดินและบ้านพิพาทออกประมูลกันระหว่างทายาทหรือนำออกขายทอดตลาดได้ แต่การที่จะให้ประมูลกันระหว่างทายาทก็น่าจะเป็นปัญหาได้เพราะทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียมิได้เข้ามาในคดีทุกคนดังนั้นสมควรให้นำที่ดินและบ้านพิพาทออกขายทอดตลาด
พิพากษากลับเป็นว่า ให้นำมรดกส่วนของนางมาย ใสยิ่งตามโฉนดตราจองเลขที่ 4919 ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแลจังหวัดอุตรดิตถ์ และบ้านเลขที่ 30 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้สุทธิแบ่งให้โจทก์ตามส่วน

Share