แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ตายในระหว่างอายุความอุทธรณ์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับจำเลยนั้นย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 ดังนั้น เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาย่อมจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ตาย
ในระหว่างอายุความฎีกาได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับซึ่งมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้โอกาสแก่ผู้มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนหรือวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะในการสงครามนำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ภายใน 90 วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ดังนั้น แม้จำเลยที่ 4 จะมีอาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะการสงครามไว้ในครอบครอง จำเลยที่ 4 ก็ได้ยกเว้นโทษตามกฎหมาย และเป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 จะไม่อุทธรณ์ฎีกาต่อมาก็ได้รับประโยชน์จากบทกฎหมายดังกล่าวด้วย ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 4
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๔ ร่วมกันมีอาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะในการสงครามไว้ในครอบครอง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และริบของกลาง
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๑, ๒, ๔ มีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก ๑๒ ปี จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้คงจำคุก ๖ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๓
จำเลยที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตายในระหว่างอายุความอุทธรณ์สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ จึงให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๒ ส่วนคดีของจำเลยอื่นปรากฏว่าในระหว่างอายุความฎีกาได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๖) พ.ศ.๒๕++ ออกใช้บังคับ ซึ่งมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้โอกาสแก่ผู้มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดสำหรับใช้เฉพาะการสงคราม นำมามอบให้นายทะเบียนท้องที่ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่พระราชบัญญัติใช้บังคับ ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ดังนั้น แม้จะฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๔ มีอาวุธปืนสำหรับใช้เฉพาะการสงครามตามฟ้องไว้ในครอบครอง จำเลยที่ ๔ ก็ได้รับยกเว้นโทษตามบทกฎหมายดังกล่าว และเป็นเหตุในลักษณะคดีแม้จำเลยที่ ๑ จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาต่อมาก็ได้ประโยชน์จากบทบฏหมายดังกล่าวนี้ด้วย
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๔