แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 ขอแก้ไขคำให้การเป็นว่า สัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง จึงไม่มีมูลหนี้และตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ปัญหาที่ว่านิติกรรมใดเป็นโมฆะหรือไม่ ถือเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในเรื่องดังกล่าวได้ แม้เป็นการยื่นเมื่อพ้นระยะเวลาที่ ป.วิ.พ. มาตรา 180 กำหนดก็ตาม
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 535,277.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 350,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานในวันที่ 20 กรกฎาคม 2548
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 เป็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนาเข้าเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 แต่เกิดจากโจทก์ ภริยาโจทก์กับจำเลยที่ 2 และภริยาจำเลยที่ 2 วางแผนสมคบกันแสดงเจตนาลวงโดยนำเอกสารสัญญากู้ยืมเงินที่มีลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ลงชื่อในช่องผู้กู้ แต่ยังมิได้กรอกข้อความและจำนวนเงินมาให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในช่องผู้ค้ำประกันเพื่อให้จำเลยที่ 1 หลงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจริง สัญญาค้ำประกัน จึงไม่มีมูลหนี้และตกเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ทั้งตามคำร้องไม่มีเหตุสมควรที่ไม่อาจยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การได้ก่อนนั้น จึงไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 แก้ไขคำให้การ ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยที่ 2 แก้ไขคำให้การได้หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 บัญญัติหลักเกณฑ์กำหนดระยะเวลาแก้ไขคำให้การไว้ว่า ต้องยื่นก่อนวันชี้สองสถานหรือก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน เว้นแต่มีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนนั้น หรือเป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย ทั้งนี้วันสืบพยานตามความในมาตรา 1 (10) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายความว่า วันที่ศาลเริ่มต้นทำการสืบพยาน คือเป็นวันแรกที่มีการสืบพยานกันจริง ๆ นั่นเอง เมื่อศาลชั้นต้นนัดสืบพยานในวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 โดยไม่มีการชี้สองสถาน การที่จำเลยที่ 2 จะยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การจึงอาจทำได้ภายในวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 จึงเป็นการยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม การที่จำเลยที่ 2 ขอแก้ไขคำให้การเป็นว่า สัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง จึงไม่มีมูลหนี้และตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ปัญหาที่ว่านิติกรรมใดเป็นโมฆะหรือไม่ ถือเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การในเรื่องดังกล่าวได้ แม้เป็นการยื่นเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดก็ตาม ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 2 แก้ไขคำให้การ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ อนุญาตให้จำเลยที่ 2 แก้ไขคำให้การได้ตามคำร้องและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ