คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5433/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยทั้งสองในการเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจำนวน 22 คัน ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าว โดยโจทก์จะเป็นผู้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทจำนวน 14,683,970 บาท โดยบริษัทจะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกทั้งหมดให้แก่โจทก์ และไม่ติดใจจะเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ อีกต่อไป ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ โดยลูกหนี้เก่าคือจำเลยทั้งสองให้ความยินยอมตาม ป.พ.พ. มาตรา 350 ดังนั้น หนี้เดิมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันจึงเป็นอันระงับไปตามมาตรา 349 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน 29,388,479.30 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 26,770,975 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติ จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจำนวน 22 คัน จากบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด โดยมีโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ตกลงให้โจทก์รับผิดชอบชำระหนี้ จำนวน 22,770,975 บาท แทนจำเลยทั้งสองให้แก่บริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด และต่อมาโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด โดยโจทก์ตกลงชำระหนี้ให้แก่บริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด เป็นเงิน 14,683,970 บาท และบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ต่อไป
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์ตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้หรือไม่เพียงใด โจทก์มีนายสมโชค และนายอุทิศ เบิกความว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจำนวน 22 คัน ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเช่าซื้อจากบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงไปตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด โดยตกลงจะชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 14,683,970 บาท และบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกทั้ง 22 คัน ให้แก่โจทก์ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองยอมให้โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยทั้งสองในการเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจำนวน 22 คัน ไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ดังกล่าว โดยโจทก์จะเป็นผู้ชำระหนี้ให้แก่บริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด จำนวน 14,683,970 บาท โดยบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกทั้งหมดให้แก่โจทก์ และไม่ติดใจจะเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ อีกต่อไป ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ โดยลูกหนี้เก่าคือจำเลยทั้งสองให้ความยินยอมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ดังนั้น หนี้เดิมตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันจึงเป็นอันระงับไปตามมาตรา 349 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด อีกต่อไป และการที่โจทก์ได้รับรถยนต์บรรทุกทั้งหมดไปไว้ในการครอบครอง โดยบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ตกลงจะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่โจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้ตกลงซื้อรถยนต์บรรทุกจากบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด แล้ว ที่โจทก์อ้างว่ารถยนต์บรรทุกทั้งหมดเป็นซากรถที่ใช้งานไม่ได้แล้ว เห็นว่า เป็นความพอใจของโจทก์เองในการทำสัญญา ข้อ 4 ที่ยอมรับมอบกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไขว่ารถยนต์จะอยู่ในสภาพใด ดังนั้นโจทก์จึงไม่อาจปฏิเสธเรื่องสภาพของรถยนต์บรรทุกที่รับคืนมา และที่โจทก์เรียกค่าติดตามรถยนต์คืนจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 4,000,000 บาท นั้น เห็นว่า นายสมโชค ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ เบิกความว่า บริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด เป็นผู้คืนซากรถยนต์บรรทุกทั้ง 22 คัน ให้แก่โจทก์ ดังนั้นผู้ติดตามรถยนต์บรรทุกทั้งหมดคือบริษัทเอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด มิใช่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ ตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share