คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10521/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด ที่จำหน่ายให้แก่สายลับมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องมาแล้วว่า เมทแอมเฟตามีนของกลาง 160 เม็ด ที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีน้ำหนัก 14.86 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.847 กรัม ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป อันเป็นการบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง และเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนที่โจทก์บรรยายฟ้อง และเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีนของกลาง จึงคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด ดังกล่าวได้เช่นเดียวกันว่าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.5338 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป กรณีจึงลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ได้ ซึ่งตามมาตรา 100/1 บัญญัติว่า ตามผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ โดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ปรับด้วยนั้น จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษปรับได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและขวดพลาสติกสีขาวของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 ปี และปรับคนละ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปีและปรับ 400,000 บาท มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือนและปรับ 300,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือนและปรับ 300,000 บาท หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับมีกำหนดไม่เกินหนึ่งปี ริบเมทแอมเฟตามีนและขวดพลาสติกสีขาวของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีน 160 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด น้ำหนักไม่ปรากฏชัดให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อในราคา 6,000 บาท เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ 6,000 บาท เป็นของกลาง จากนั้นดาบตำรวจสมชายเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมกับพวกพาจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่ด้วยและยึดเมทแอมเฟตามีนบรรจุในขวดพลาสติกสีขาวอีก 130 เม็ด เป็นของกลาง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 130 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า จากการสืบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจทราบแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงมีการวางแผนจับกุมโดยใช้สายลับติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ที่ตลาดนัดบ่อนไก่ บันทึกการจับกุมดังกล่าวระบุชื่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมจับกุมถึง 12 คน การที่มีเจ้าพนักงานตำรวจร่วมจับกุมถึง 12 คน และดาบตำรวจสมชายอ้างว่าร่วมกับพวกเดินทางไปที่บ้านจำเลยที่ 2 แต่โจทก์กลับมีพยานมาเบิกความเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เพียงปากเดียว คือดาบตำรวจสมชาย จึงเป็นพยานเดี่ยวที่ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง ได้ความจากคำเบิกความของดาบตำรวจสมชายว่า เมื่อไปถึงบ้านจำเลยที่ 2 พยานแจ้งให้จำเลยที่ 2 นำเมทแอมเฟตามีนที่ซุกซ่อนอยู่ข้างรั้วมามอบให้แก่พยาน ซึ่งเป็นการระบุจุดซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนให้จำเลยที่ 2 ทราบ และให้จำเลยที่ 2 ไปนำมามอบให้ ไม่ใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 รู้จุดซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนด้วยตนเอง ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานได้ลงจากรถไปแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อขอตรวจค้นหรือไม่อย่างไร การที่จำเลยที่ 2 ไปหยิบเมทแอมเฟตามีน 130 เม็ด ของกลาง มามอบให้โดยดี จึงขัดต่อเหตุผลที่ผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 จะกระทำเช่นนั้น นอกจากนี้แผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ และบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ ล้วนแต่ระบุสถานที่เกิดเหตุคือตลาดนัดบ่อนไก่อันเป็นสถานที่ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามสำเนาภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวนยังระบุว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้นำเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดเมทแอมเฟตามีน 130 เม็ด ของกลาง อันแสดงให้เห็นว่าการกระทำความผิดในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น แม้ตามบันทึกการจับกุมจะระบุว่า จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพแต่คำรับสารภาพในชั้นจับกุมนั้นห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคท้าย ส่วนในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีมาโดยตลอด ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีน 130 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด ให้แก่สายลับ แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องมาแล้วว่าเมทแอมเฟตามีนของกลาง 160 เม็ด จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีน้ำหนัก 14.86 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.847 กรัม ซึ่งคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป อันเป็นการบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง และเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 จำหน่าย 30 เม็ด ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 160 เม็ด ที่โจทก์บรรยายฟ้องมาครบองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง และตามรายงานการตรวจพิสูจน์เมทแอมเฟตามีนของกลางซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบโต้แย้งคัดค้าน เมทแอมเฟตามีนของกลาง 160 เม็ด ตรวจพบปริมาณเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้2.847 กรัม และมีเมทแอมเฟตามีนของกลางเหลือจากการตรวจพิสูจน์จำนวน 13.94 กรัม ปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนตามรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางบางส่วนมาตรวจพิสูจน์หาปริมาณสารบริสุทธิ์แล้วจึงนำผลที่ได้มาคำนวณหาปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลาง 160 เม็ด ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ที่กำหนดปริมาณสารบริสุทธิ์ของยาเสพติดให้โทษโดยการคำนวณ เมื่อเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ด เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 160 เม็ด ของกลาง จึงคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 30 เม็ดดังกล่าวได้เช่นเดียวกันว่าเป็นสารบริสุทธิ์ 0.5338 กรัมซึ่งเป็นปริมาณตั้งแต่สามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป โดยไม่มีข้อสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่แตกต่างกับเมทแอมเฟตามีนส่วนอื่นที่จะทำให้ปริมาณสารบริสุทธิ์คำนวณได้ไม่ถึงสามร้อยเจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป กรณีจึงลงโทษจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ได้ ซึ่งตามมาตรา 100/1 บัญญัติว่า ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอโดยคำนึงถึงการลงโทษในทางทรัพย์สินเพื่อป้องปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ปรับด้วยนั้น จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาไม่อาจลงโทษปรับได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษ จำเลยที่ 1 ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ส่วนโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share