คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-747/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินไว้กับจำเลย. ฟ้องโจทก์รับอยู่ในตัวว่าโจทก์มิได้ไถ่ทรัพย์พิพาทภายในกำหนด. แต่อ้างว่าจำเลยยอมให้โจทก์ผ่อนชำระราคาตามสัญญาขายฝากจนครบ. และเมื่อครบแล้วจำเลยจะคืนทรัพย์พิพาทที่ขายฝากให้. การตกลงดังนี้เป็นการขยายกำหนดเวลาไถ่ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา496.
เมื่อโจทก์ไม่สามารถไถ่ที่ดินคืนภายในกำหนดเวลา.จำเลยก็จำต้องคืนเงินค่าผ่อนชำระที่ดินให้แก่โจทก์. (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2511).

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรก นายคุณอิทธิและนางมีหรือมีงอ เป็นโจทก์ฟ้องนายหวลว่าโจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2501 โจทก์ที่ 1ได้นำโฉนดที่ 1022 พร้อมด้วยตึก 2 ชั้น 5 ห้อง หนึ่งหลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนี้ไปขายฝากไว้กับจำเลยมีกำหนดเวลาไถ่คืนภายใน 18 เดือนเป็นเงิน 130,000 บาท คิดดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 58,500 บาทเอาทบกับเงินต้นในสัญญาขายฝาก จึงระบุเป็นเงิน 188,500 บาท ซึ่งโจทก์ต้องไถ่ถอนตามจำนวนนี้ ครั้นเดือนสิงหาคม 2502 ซึ่งเป็นเวลาก่อนสิ้นกำหนดเวลาไถ่ โจทก์นำเงินไปขอไถ่ทรัพย์โดยวิธีผ่อนชำระ จำเลยตกลงว่าเมื่อชำระครบแล้วจะโอนที่ขายฝากคืนให้โจทก์ โจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลย 60,000 บาท, 80,000 บาท, 30,000 บาท และ 1,500 บาท รวมเป็นเงินชำระแล้ว 171,500 บาท ต่อมาเดือนกันยายน 2505 ได้นำไปชำระอีก17,000 บาท จำเลยไม่ยอมรับ เดือนพฤศจิกายน 2505 จำเลยกลับมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกไปจากที่ดินที่ขายฝาก ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 17,000 บาท ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1022พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ หากไม่สามารถโอนได้ ก็ให้จำเลยใช้เงิน 171,500 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า โจทก์ขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยจริง จำเลยให้โจทก์อาศัยอยู่ในทรัพย์ที่ขายฝากโดยมิต้องเสียค่าเช่าให้โจทก์เก็บผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่ขายฝากแทนจำเลยส่งมอบให้จำเลยเป็นคราว จำเลยไม่ได้รับเงิน 60,000 บาท และ 80,000 บาทไว้จากโจทก์เงินที่ขายที่ดิน 30,000 บาท จำเลยก็เป็นผู้แบ่งขายเอง ส่วนเงิน1,500 บาทที่บุตรชายจำเลยรับไว้ เป็นเงินผลประโยชน์ที่เก็บได้จากทรัพย์สินที่ซื้อฝาก โจทก์ไม่เคยนำเงินไปชำระเพื่อไถ่ถอน สำนวนหลัง นายหวลเป็นโจทก์ฟ้องนายสุรชัยหรือคุณอิทธิว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ 1022 ได้อนุญาตให้จำเลยอาศัยตึกแถวเลขที่ 631/13 ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ โดยให้จำเลยเรียกเก็บผลประโยชน์ส่งโจทก์เป็นคราว ๆ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2505โจทก์มีหนังสือบอกเลิกไม่ให้จำเลยอยู่ต่อไป ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร และค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นายสุรชัยหรือคุณอิทธิจำเลยให้การว่า โจทก์ยอมให้จำเลยครอบครองทรัพย์สินที่ขายฝากคือ ห้องเลขที่ 631/13 โดยจำเลยขายฝากที่ดินโฉนดที่ 1022 พร้อมด้วยตึกแถวไว้กับโจทก์ จำเลยได้นำเงินไปไถ่ถอนคืนดังกล่าวในฟ้องสำนวนแรกเมื่อจำเลยใช้สิทธิไถ่ถอนและผ่อนชำระเงินให้โจทก์รับไปบางส่วนแล้ว ทรัพย์สินย่อมตกมาเป็นของจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่เคยพูดขอไถ่ และไม่เคยชำระค่าไถ่ที่พิพาท เงินที่จำเลยรับเป็นเงินส่วนได้ของจำเลยเอง ให้ยกฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งเลขดำที่ 1/2506 พิพากษาขับไล่โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยในคดีแพ่งดำที่ 16/2506 และบริวารออกจากห้องเลขที่ 631/13 กับให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 120 บาท โจทก์ในสำนวนแรกอุทธรณ์ทั้งในคดีที่เป็นโจทก์และคดีที่เป็นจำเลยในสำนวนหลัง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน นายคุณอิทธิและนางมีงอฎีกาทั้ง 2 สำนวน ศาลฎีกาเห็นว่า การขายฝากรายนี้มีกำหนดไถ่ภายใน 18 เดือนนับแต่วันขายฝาก คือ วันที่ 7 มีนาคม 2501 ตามฟ้องของโจทก์ก็รับอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์มิได้ไถ่ทรัพย์พิพาทภายในกำหนด เป็นแต่ตกลงกันว่าโจทก์จะขอไถ่โดยผ่อนชำระราคาตามสัญญาขายฝากจนครบ เมื่อครบแล้วจำเลยจะโอนที่ขายฝากคืนให้โจทก์ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าการตกลงดังกล่าวนี้เป็นการขยายกำหนดเวลาไถ่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 แต่ตามฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยได้รับเงินผ่อนชำระตามข้อตกลงดังกล่าวแล้วจากโจทก์ และขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์หากจำเลยไม่สามารถจะโอนที่ดินนี้คืนโจทก์ได้ศาลฎีกาจึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงนี้ต่อไป ศาลฎีกาเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระเงินจำนวน 60,000 บาท และ 1,500 บาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยส่วนเงิน 30,000 บาทนั้น ก็รับกันอยู่แล้วว่าเป็นเงินค่าขายที่ดินที่ขายฝากบางส่วนซึ่งคิดเป็นเงินรับได้ด้วยเพราะแทนเนื้อที่ที่ขาดไป ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับเงินผ่อนชำระค่าที่ดินจากโจทก์ไว้ 2 ครั้ง คือ เงิน 80,000 บาท ที่ขายที่ดินแปลงอื่นชำระให้ครั้งหนึ่ง กับแบ่งขายที่ดินที่ขายฝากโดยจำเลยอนุญาตเป็นเงิน 30,000บาทอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโจทก์ไม่สามารถจะไถ่ที่ดินที่ขายฝากคืนได้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ดังได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยจึงไม่มีเหตุที่จะอ้างเอาเงิน 80,000 บาทของโจทก์นั้นไว้ได้ต่อไป เพราะการไถ่การขายฝากจะเป็นผลขึ้นไม่ได้ตามที่โจทก์มุ่งประสงค์ไว้ในการชำระเงิน 80,000 บาทให้จำเลยไปนั้นจำเลยจึงต้องคืนเงิน 80,000 บาทนี้ให้โจทก์ ส่วนเงิน 30,000 บาทนั้นเป็นเงินที่แบ่งขายที่ดินที่ขายฝากซึ่งโจทก์ไถ่คืนไม่ได้แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องคืนให้โจทก์ ส่วนคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่ เมื่อโจทก์เอาที่ดินคืนไม่ได้ โจทก์ก็ต้องออกไปจากที่ดินของจำเลย และต้องใช้ค่าเสียหายในการที่ไม่ออกจากห้องของจำเลย เพราะทำให้จำเลยขาดประโยชน์ในการใช้ห้องในระหว่างที่โจทก์ขืนอยู่ พิพากษาแก้ ให้จำเลยคืนเงิน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จให้แก่โจทก์ในสำนวนแรก สำนวนหลังคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share