คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิม จำเลยอาศัยสิทธิของเจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินพิพาทบางส่วน โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดา ด้วยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปีย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จำเลยย่อมมีสิทธิฟ้องแย้งได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งเมื่อคดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จจนถึงศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปแล้ว และคดีอยู่ระหว่างที่จำเลยฎีกาแม้ศาลฎีกาจะเห็นว่าฟ้องแย้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมโดยตรงแต่ก็ไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้ง และรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อนี้ใหม่ เพราะถ้าจำเลยเห็นว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองก็ชอบที่จำเลยจะดำเนินคดีเรียกร้องได้ เนื่องจากคำพิพากษาคดีเดิมไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะเรียกร้องได้ตามสิทธิของตน

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสามออกจากที่พิพาท และเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 3642 แขวงหนองแขม กรุงเทพมหานคร ที่โจทก์ซื้อมาจากนายบรรจง ผลอวยพร เจ้าของที่ดินเดิม จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสาม ขอให้พิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครองและห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามไว้แล้วต่อมาในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสามจะฟ้องแย้งไม่ได้เนื่องจากการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 จะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายที่ดิน จึงมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งรับฟ้องแย้งคืนค่าขึ้นศาลฟ้องแย้งให้จำเลยทั้งสาม และกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ได้ที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยหรือไม่ แล้วดำเนินคดีต่อไป
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้ง และกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มว่าจำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่าฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2529 โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 3642 แขวงหนองแขม เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร จากนายบรรจงผลอวยพร เจ้าของเดิม จำเลยทั้งสามอาศัยสิทธินายบรรจงปลูกบ้านเลขที่ 49/1 อยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวบางส่วน โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปแต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินและรื้อบ้านออกไปกับให้ใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาทต่อจากบิดามารดาด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง โจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต ไม่เสียค่าตอบแทน ทั้งทราบการครอบครองของจำเลยทั้งสามแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครอง ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้องต่อไป เห็นว่า จำเลยทั้งสามโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมโดยตรงมิใช่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จำเลยทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องแย้งได้ แต่อย่างไรก็ดี คดีนี้ศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งและบัดนี้คดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จจนถึงศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปแล้ว คดีอยู่ระหว่างที่จำเลยทั้งสามฎีกาจึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งและรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อนี้ใหม่ ถ้าจำเลยทั้งสามเห็นว่า จำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง ก็ชอบที่จำเลยทั้งสามจะดำเนินคดีเรียกร้องได้ เพราะคำพิพากษานี้ก็ไม่ตัดสิทธิของจำเลยทั้งสามที่จะเรียกร้องได้ตามสิทธิของตน ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่442/2511 ระหว่าง นางวิภา เกียรติแสงศิลป์ โจทก์ นายซือโพ้ยแซ่ปิง จำเลย
พิพากษากลับ ไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม

Share