คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้ไปร้องขอให้กรมเจ้าท่าทำการโอนขายเรือของโจทก์ให้แก่ ส. ในชั้นแรกไม่ได้รับอนุญาตให้โอน จำเลยซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมเจ้าท่าได้เรียกร้องให้โจทก์ชำระเงิน 56,000 บาท เพื่อเป็นค่าทำถนนในกรมเจ้าท่าเสียก่อนจึงจะอนุญาตให้ทำการโอนได้ โจทก์จึงจำต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยแล้วจำเลยจึงได้สั่งอนุญาตให้ทำการโอนเรือในวันนั้นเอง ดังนี้แม้จำเลยจะนำสืบได้ว่าได้เอาเงินจำนวนนี้ไปใช้ลาดยางทำถนนให้แก่กรมเจ้าท่า จำเลยก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำการทุจริตตามนัยแห่งมาตรา 6(3) กฎหมายอาญา โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยและมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยได้
กรณีเช่นนี้ย่อมแตกต่างกับเรื่องเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ซึ่งเป็นการให้เงินแก่กันโดยสมัครใจ (อ้างฎีกาที่406/2468,394/131)

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ไปยื่นคำร้องต่อจำเลยซึ่งเป็นรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ขอขายเรือของโจทก์ให้แก่นายประสิทธิ์จำเลยได้บีบบังคับให้โจทก์จ่ายเงิน 56,000 บาทให้แก่กรมเจ้าท่าโดยจำเลยอ้างว่าเพื่อลาดยางแอสฟัลด์บนถนนในกรมนั้น ซึ่งเป็นอันมิควรได้ตามกฎหมาย โดยโจทก์เพทุบายว่าให้นายประสิทธิ์เป็นผู้เสนอให้เงินนี้แก่กรมเจ้าท่า โจทก์ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ได้พานายประสิทธิ์ไปจ่ายเงินจำนวนนั้นให้แก่จำเลย ณ กรมเจ้าท่าแล้วจำเลยก็สั่งอนุญาตโอนขายเรือสำเร็จไปภายใน 2-3 ชั่วโมงนั้นเอง ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญา มาตรา 136, 137, 63 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 และ 2484

จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ไม่ยืนยันว่าจำเลยรับไว้เป็นสินน้ำใจส่วนตัว แต่กลับยืนยันว่ารับไว้สร้างถนนให้กรมเจ้าท่าอันเป็นประโยชน์ของหลวงหรือของราชการแผ่นดินหาใช่ประโยชน์ส่วนตัวจำเลยหรือบุคคลอื่นตามความหมายของกฎหมายไม่และโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 28

ศาลอาญาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ไม่ได้ถูกจำเลยบีบบังคับให้ให้เงิน และเงินจำนวนนี้เป็นของนายประสิทธิ์ แม้จะฟังว่าเป็นเงินของโจทก์ให้นายประสิทธิ์ก็เป็นตัวแทนของโจทก์ แสดงเจตจำนงของโจทก์ว่าสมัครใจให้เงินนั้นเพื่อสาธารณะกุศลจึงเรียกไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายซึ่งเทียบได้กับเรื่องเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา โจทก์จะต้องให้พนักงานอัยการฟ้องแทนจึงพิพากษายกฟ้อง แต่มีผู้พิพากษานาย 1 ทำความเห็นแย้งว่าจำเลยควรมีความผิดตามมาตรา 136 กฎหมายอาญาควรลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเงินทำถนนนั้นเป็นเงินของโจทก์แต่โจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยบับบังคับ หากจะฟังอย่างโจทก์ว่าก็เป็นแต่เพียงจำเลยแนะนำให้ออกเงินช่วยทางการเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีความผิด พิพากษายืน แต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งทำความเห็นแย้งว่าควรลงโทษจำเลยดังความเห็นแย้งของศาลอาญา แต่ควรรอการลงอาญาไว้และอนุญาตให้โจทก์ฎีกาได้ตามมาตรา 221 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่าเงินรายนี้เป็นของโจทก์ แต่โจทก์ให้นายประสิทธิ์ออกหน้าเป็นผู้จ่าย การโอนเรือรายนี้โจทก์วิ่งเต้นขออนุญาตทำการโอนแต่ไม่ได้รับอนุญาตจนถึงโจทก์ร้องเรียนไปถึงรัฐมนตรีก็ไม่ได้ผลโจทก์ส่งคนไปเจรจากับจำเลย ในที่สุดจำเลยให้โจทก์ออกเงินจำนวนนี้ทำถนนที่กรมเจ้าท่า โจทก์ยอมปฏิบัติตามคำจำเลยจึงได้ทำการโอนเรือเป็นผลสำเร็จ ฟังได้ว่าโจทก์ได้ยอมให้เงินไปโดยถูกจำเลยบังคับเรียกร้องเอา

เงินรายนี้แม้จำเลยจะสืบได้ว่าไปใช้ลาดยางให้แก่กรมเจ้าท่าก็เห็นว่าการกระทำของจำเลยคงเป็นผิดตามมาตรา 136 เพราะถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ทำการทุจริตตามนัยแห่งมาตรา 6(3) กฎหมายอาญาข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยอ้างฎีกาที่ 968/2479 และ 1183/2490 นั้น ปรากฏว่าเรื่องตามที่ฎีกาที่โจทก์อ้างเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นกฎหมายพิเศษและรูปคดีเป็นคนละอย่างกับคดีนี้คือ กรณีตามฎีกาดังกล่าวเป็นเรื่องให้เงินแก่กันโดยสมัครใจ แต่กรณีนี้เป็นเรื่องโจทก์ให้เงินไปโดยถูกจำเลยบังคับควรเทียบตามฎีกาที่ 406/2468 และ 394/131 จึงพิพากษากลับศาลล่างทั้งสองว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 136 กฎหมายอาญาที่แก้ไขเพิ่มเติมให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี แต่ให้รอการลงอาญาจำเลยไว้ตามกฎมหายอาญา มาตรา 1-41

Share