คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7433/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 722 เนื้อที่ 2 ไร่ 80 ตารางวามีชื่อเด็กหญิง ส. กับพวกรวม 11 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 โดยระบุไว้แล้วว่าที่ดินส่วนของเด็กหญิง ส. ในโฉนดดังกล่าวจำนวน 35 ตารางวา ทิศใดมีความกว้างยาวและเขตติดต่ออย่างไร ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ จำเลยที่ 1 คือ กรมที่ดินจึงต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ 35 ตารางวา ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 78 ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(3)วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 722เนื้อที่จำนวน 35 ตารางวา ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินส่วนที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ออกจากโฉนดเลขที่ 722 จำนวนเนื้อที่ 35ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดที่ดินเสร็จสิ้นแล้วต่อมาจำเลยทั้งสองแจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ได้ อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินส่วนที่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ จำนวนเนื้อที่35 ตารางวา ออกจากโฉนดที่ดินเลขที่ 722 เป็นของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ของโจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเฉพาะส่วนของเด็กหญิงสนมทั้งหมด การจดทะเบียนจึงต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ข้อ 8(3)วรรคสอง เจ้าพนักงานที่ดินได้ใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของเด็กหญิงสนมโดยการครอบครองปรปักษ์ อันเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นครบถ้วนแล้ว การที่โจทก์จะขอให้แบ่งแยกที่ดินจากโฉนดเลขที่ 722 ออกเป็นเนื้อที่จำนวน 35 ตารางวาและใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในโฉนดจึงไม่อาจจะปฏิบัติให้ได้แต่หากโจทก์ให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในโฉนดทุกคนไปยื่นคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เจ้าพนักงานที่ดินจึงจะดำเนินการให้ได้จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกโฉนดเลขที่ 722 และออกโฉนดให้โจทก์ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีหมายเลขแดงที่ 495/2528 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่กรรมนางสาวมาลีบุตรโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 722 เนื้อที่ 2 ไร่80 ตารางวา มีชื่อเด็กหญิงสนมกับพวกรวม 11 คน เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าที่ดินส่วนของเด็กหญิงสนมในโฉนดที่ดินดังกล่าว เนื้อที่ 35 ตารางวา ทิศเหนือจดคลองนาขวาง ยาวประมาณ 6 วา ทิศใต้จดทางเดินในโฉนดยาวประมาณ7 วา 1 ศอก ทิศตะวันตกจดที่ดินส่วนของนายชื้น ยาวประมาณ 6 วาทิศตะวันออกจดคลองในโฉนด ยาวประมาณ 4 วา ตกเป็นของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 495/2528 ตามคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น ได้ระบุไว้แล้วว่าที่ดินจำนวน 35 ตารางวา ที่โจทก์ได้มานั้น ทิศใดมีความกว้างยาวและเขตติดต่ออย่างไร โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวน 35 ตารางวา ตามที่ศาลชั้นต้นระบุไว้ดังกล่าวแยกต่างหากจากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ มิใช่เป็นการได้มาในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนอื่น ๆ จำเลยที่ 1 จึงต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำนวนเนื้อที่ 35 ตารางวาตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78 ประกอบด้วยกฎกระทรวง ฉบับที่ 7(พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินพ.ศ. 2497 ข้อ 8(3) วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน

Share