แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน ช. ฝ่ายหนึ่ง และ ท. บิดาของจำเลยที่ 3 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งพิพาทกันในสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเฉพาะพื้นที่นอกแนวเขตของพื้นที่ที่ ช. ครอบครองปลูกบ้านเป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ท. ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเฉพาะส่วนโดย ช. ยกให้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทในคดีก่อน เพียงแต่อ้างจำนวนเนื้อที่มากกว่าเดิมเท่านั้น จึงเป็นประเด็นเดียวกันกับ ที่ศาลวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ท. แม้โจทก์ที่ 2 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่เมื่อโจทก์ที่ 2 เป็นทายาทโดยธรรมของ ช. และได้เป็นผู้เข้ารับมรดกความแทน จึงเป็นผู้สืบสิทธิมาจาก ช. ถือได้ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน โจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิรื้อร้องฟ้องเป็นคดีนี้อีก ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่แบ่งที่ดินแก่โจทก์ทั้งสองคนละ ๑ งาน ๓๖ ตารางวา หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดนำเงินแบ่งแก่โจทก์ทั้งสองคนละหนึ่งในสามส่วน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า คำฟ้องโจทก์ที่ ๒ เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค ๒ รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นบุตรของนางชิต และนายจีน อุ่นเรือน นางบัว นายลื้อ นายผ่อน และนางผัน เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยที่ ๑ เป็นบุตรของนายลื้อ จำเลยที่ ๒ เป็นบุตรของนายผ่อน จำเลยที่ ๓ เป็นบุตรของนายเทียม ซึ่งเป็นบุตรของนางผัน จำเลยที่ ๔ เป็นสามีของบุตรจำเลยที่ ๒ ที่ดินตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) เอกสารหมาย จ. ๒ มีชื่อนางบัว นางเภา และนางชิต เป็นผู้ครอบครองร่วมกัน เมื่อปี ๒๕๓๐ นางชิต อุ่นเรือน ฝ่ายหนึ่งกับจำเลยทั้งสี่และนายเทียม หอมหิรัญ บิดาของจำเลยที่ ๓ อีกฝ่ายหนึ่ง มีกรณีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิครอบครองของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเอกสารหมาย จ. ๒ ตามสำนวนคดีแพ่งเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเฉพาะพื้นที่นอกแนวเขตของพื้นที่ที่นางชิตครอบครองปลูกบ้าน ตามแผนที่วิวาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายเทียมบิดาของจำเลยที่ ๓
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการแรกว่า คำฟ้องส่วนของโจทก์ที่ ๒ เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๓๓๗/๒๕๓๒ และ ๓๔๔/๒๕๓๒ ตามสำนวนคดีแพ่งเอกสารหมาย ล. ๑ และ ล. ๒ นางชิต อุ่นเรือน ฝ่ายหนึ่ง และนายเทียม หอมหิรัญ บิดาของจำเลยที่ ๓ กับพวกอีกฝ่ายหนึ่ง พิพาทกันในสิทธิครอบครองที่ดินซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเฉพาะพื้นที่นอกแนวเขตของพื้นที่ที่นางชิตครอบครองปลูกบ้านเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายเทียมบิดาของจำเลยที่ ๓ ส่วนคดีนี้โจทก์ที่ ๒ ฟ้องจำเลยทั้งสี่ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินเฉพาะส่วนโดยนางชิตยกให้ตามบริเวณพื้นที่กรอบสีแดงในแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ. ๔ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินพิพาทในคดีก่อน เพียงแต่อ้างจำนวนเนื้อที่มากกว่าเดิมเท่านั้น จึงเป็นประเด็นเดียวกันกับที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายเทียมบิดาของจำเลยที่ ๓ แม้โจทก์ที่ ๒ จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ที่ ๒ เป็นทายาทโดยธรรมของนางชิตและได้เป็นผู้เข้ารับมรดกความแทน จึงเป็นผู้สืบสิทธิมาจากนางชิต ถือได้ว่าโจทก์ที่ ๒ เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน โจทก์ที่ ๒ ไม่มีสิทธิรื้อร้องฟ้องเป็นคดีนี้อีก ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ วรรคแรก
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองประการสุดท้ายว่า โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายเทียมบิดาของจำเลยที่ ๓ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท หาใช่โจทก์ที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกาแต่อย่างใดไม่
พิพากษายืน.