คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1หลังจากที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินซึ่งจะต้องชำระภาษีอากรตามฟ้อง เพียง 9 วัน จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีควรจะต้องรู้ว่า การขายที่ดินดังกล่าวเป็นการขายเพื่อการค้าหรือหากำไร เพราะจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินทั้งหมดมาในราคาประมาณ 7,000,000 บาท แต่ขายต่อไปในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน เป็นเงินถึง 124 ล้านบาทเศษ ซึ่งการขายใน ลักษณะดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเสียภาษีธุรกิจ เฉพาะและภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ภายหลังจากการขายที่ดินดังกล่าวในวันที่ 5 กันยายน 2538 แล้วก็ได้แต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2538 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ก็รีบไป จดทะเบียนเลิกจำเลยที่ 1 ในวันที่ 20 กันยายน 2538 และไปจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538 กรณีจึงเชื่อว่า จำเลยที่ 2 ได้รู้ว่าในการขายที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 จึงได้ร่วมกัน รีบจดทะเบียนเลิกจำเลยที่ 1 และรีบจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี ในการชำระบัญชีของจำเลยที่ 2 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ยังมีเงินสดเหลืออยู่อีกจำนวน 1,480,108.75 บาท การที่ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีได้แบ่งเงินที่เหลือดังกล่าว ให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกคนเฉลี่ยตามสัดส่วนของ การถือหุ้นจึงเป็น การฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินที่เหลือจำนวนดังกล่าวไปชำระภาษี ให้แก่โจทก์ก่อน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วม รับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 นับตั้งแต่ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นผู้ชำระบัญชีในวงเงินไม่เกิน 1,480,108.75 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2538และได้รับจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี มีหน้าที่ที่จะต้องนำทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 มาชำระหนี้ค่าภาษีให้แก่โจทก์ก่อนที่จะเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2538 จำเลยที่ 1 มีรายได้จากการขายที่ดินจำนวน 6 แปลงเป็นจำนวนเงิน 124,387,500 บาท จำเลยที่ 1ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538 แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะแต่อย่างใด โจทก์จึงได้ออกหนังสือให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ไปให้ถ้อยคำประกอบในการไต่สวนตรวจสอบ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ไปพบโจทก์ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ พบว่าเมื่อวันที่7 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินจำนวน 6 แปลง ในราคารวม 7,000,000 บาท ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2538 จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินทั้ง 6 แปลง ในราคา 124,387,500 บาท อันเป็นการซื้อขายที่ดินในทางการค้าหากำไร จำเลยที่ 1 จึงต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีธุรกิจเฉพาะเพื่อชำระภาษีตามกฎหมาย เจ้าพนักงานของโจทก์จึงได้คำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดพร้อมดอกเบี้ยปรับและเงินเพิ่มคำนวณถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2540 รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน13,545,798.75 บาท โจทก์ได้ส่งหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะให้จำเลยที่ 2 ผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 โดยชอบแล้วแต่จำเลยทั้งสองได้เพิกเฉย ทั้งไม่ได้อุทธรณ์การประเมินภาษีต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาตามกฎหมายดังนั้นเงินภาษีอากรดังกล่าวจึงถือเป็นหนี้ภาษีอากรค้างชำระและต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มให้แก่โจทก์อีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องเสียหรือนำส่งจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชี ของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำทรัพย์สินที่เหลือจากการชำระบัญชีชำระค่าภาษีแก่โจทก์แต่จำเลยที่ 2 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินค่าภาษีอากรจำนวน13,545,798.75 บาทแก่โจทก์ พร้อมเงินเพิ่มภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน จากต้นเงิน 3,731,625 บาท แต่ไม่เกินเงินต้นนับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีชำระเงินค่าภาษีธุรกิจเฉพาะจำนวน 3,731,625 บาท เบี้ยปรับจำนวน 7,463,250 บาทเงินเพิ่มจำนวน 1,119,487.50 บาท ภาษีบำรุงเทศบาลจำนวน1,231,436.25 บาท รวมเป็นเงิน 13,545,798.75 บาท และชำระเงินเพิ่มภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีธุรกิจเฉพาะจำนวน 3,731,625 บาทนับแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์แต่เงินเพิ่มที่คำนวณได้เมื่อรวมกับเงินเพิ่มจำนวน 1,119,487.50 บาทแล้วต้องไม่เกินจำนวน 3,731,625 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คัดค้านว่าเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2538 จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่50618 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครในราคา 438,000 บาท และซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 2705, 38865, 40974,41240 และ 57149 ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมืองสมุทรสาครจังหวัดสมุทรสาคร รวม 5 แปลง ในราคา 6,562,000 บาทต่อมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2538 จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินทั้ง 6 แปลงดังกล่าวในราคา 124,387,500 บาท และในวันที่ 20 กันยายน 2538 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี และในวันที่ 28 กันยายน 2538จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี หลังจากนั้นเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งการประเมินภาษีธุรกิจเฉพาะเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลไปยังจำเลยที่ 1โดยแจ้งให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีทราบเมื่อวันที่22 เมษายน 2540 จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชำระค่าภาษีอากรตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 2 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2538หลังจากที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินซึ่งจะต้องชำระภาษีอากรตามฟ้องเพียง 9 วัน จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 ควรจะต้องรู้ว่าการขายที่ดินดังกล่าวเป็นการขายเพื่อการค้าหรือหากำไร เพราะจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินทั้งหมดมาในราคาประมาณ 7,000,000 บาท แต่ขายต่อไปในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน เป็นเงินถึง 124 ล้านบาทเศษ ซึ่งการขายในลักษณะดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ภายหลังจากการขายที่ดินดังกล่าวในวันที่ 5 กันยายน 2538 แล้วก็ได้มีการแต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชีเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2538และหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็รีบไปจดทะเบียนเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 ในวันที่ 20 กันยายน 2538 และไปจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538 กรณีจึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้ว่าในการขายที่ดินดังกล่าวนี้ บริษัทจำเลยที่ 1ยังไม่ได้เสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ชำระบัญชี และบริษัทจำเลยที่ 1จึงได้ร่วมกับบริษัทจำเลยที่ 1 รีบจดทะเบียนเลิกบริษัทจำเลยที่ 1และรีบจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการชำระบัญชีของจำเลยที่ 2 ยังปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ยังมีเงินสดเหลืออยู่อีกจำนวน 1,480,108.75 บาท การที่จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ชำระบัญชีได้แบ่งเงินที่เหลือดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกคนเฉลี่ยตามสัดส่วนของการถือหุ้น จึงเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269 ซึ่งบัญญัติว่า”อันทรัพย์สินของ บริษัทนั้นจะแบ่งคืนให้แก่ ผู้ถือหุ้นได้แต่เพียงเท่าที่ไม่ต้องเอาไว้ใช้ในการชำระหนี้ของ บริษัทเท่านั้น”ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินที่เหลือจำนวน 1,480,108.75 บาทไปชำระหนี้ภาษีตามฟ้องให้แก่โจทก์ก่อน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 1 นับตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ชำระบัญชีในวงเงินไม่เกิน1,480,108.75 บาท ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ในวงเงินไม่เกิน 1,480,108.75 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง

Share