แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการยอมผ่อนปรนแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทน โดยให้โอกาสแก่จำเลยที่ 1 ในอันที่จะจัดการเรื่องหนี้สินให้เรียบร้อยนั้น จะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์หาได้ไม่ และตามข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องกระทำการต่าง ๆ ก็หาได้ระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องกระทำ ณ เวลาใดอันเป็นกำหนดแน่นอนไม่ การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าว และยังกระทำผิดสัญญาในเรื่องการให้กู้ยืมกับให้เบิกเงินเกินบัญชีโจทก์ยังไม่เลิกสัญญาทันทีนั้น ก็ไม่เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ผู้จำนองเป็นประกันการที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์สำหรับความเสียหายทั้งปวง จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
อายุความสำหรับธนาคารที่จะเรียกร้องเอาดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีเดินสะพัดจากลูกหนี้ของธนาคาร กับอายุความสำหรับโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกัน จำเลยที่ 1 นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่ลูกหนี้รายใดได้จนถึงวันใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เมื่อจำเลยที่ 1 ประพฤติผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยสูญ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหาย และเรียกร้องเอาแก่ผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ได้ ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาอันเป็นสัญญาตั้งตัวแทน มีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ จึงไม่ขาดอายุความในส่วนที่ฟ้องผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ 1 ด้วย
เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว หากคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็ยังไม่ถือว่ามีการผิดนัดกรณีย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 225 วรรคสอง ในระหว่างนั้นโจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ตามมาตรา 655 วรรคสอง (อ้างฎีกา 658 – 659/2511 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ท้ายฟ้องมีเอกสารหมายเลข 4 ซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ที่จำเลยที่ 1 ให้กู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเรียกเก็บไม่ได้ซึ่งแสดงรายละเอียดว่า ลูกหนี้ชื่อใด บัญชีเท่าใด ยอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ตลอดทั้งเหตุที่เรียกเก็บไม่ได้ เป็นเพราะไม่มีสัญญาหรือว่าไม่มีทั้งสัญญาและหลักประกันด้วย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมส่วนข้อที่ว่า หนี้แต่ละรายเหล่านั้นเป็นเงินต้นเท่าใด คิดดอกเบี้ยอย่างไรนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จำนองที่ดินแก่โจทก์เพื่อเป็นประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขานั้น เป็นการให้สัญญาแก่โจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ 1 กระทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าเสียหายนั้นก็ให้โจทก์บังคับจำนองได้ ซึ่งต่างกับการค้ำประกัน และมิได้มีบทบัญญัติใดในลักษณะจำนองที่ให้นำมาตรา 689 ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย (อ้างฎีกา 1187/2517)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากับโจทก์เพื่อจัดตั้งธนาคารสาขาเป็นตัวแทนของโจทก์ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาหลายประการโดยก่อหนี้ขึ้นแล้วปล่อยให้บริษัทร้างจนถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันการที่จำเลยที่๑ จะต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์สำหรับความเสียหายทั้งปวง ตามสัญญาการจัดตั้งธนาคารสาขาดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำสั่งให้จดชื่อบริษัทจำเลยที่ ๑ คืนเข้าสู่ทะเบียนแล้วให้จำเลยร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ย ถ้าไม่ชำระให้บังคับจำนองเอาจากทรัพย์ที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จำนองไว้ ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ผู้จัดการจำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ผิดสัญญาและไม่ต้องรับผิดสำหรับความเสียหาย จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว และฟ้องแย้งทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การและฟ้องแย้งทำนองเดียวกันว่า ได้จำนองที่ดินเป็นประกันตามสัญญา แต่โจทก์จะฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ด้วยไม่ได้โจทก์ยอมให้ผู้อื่นดำเนินการธนาคารสาขา เงินทุนที่จำเลยที่ ๑ จะต้องมีให้ธนาคารสาขาโจทก์ยอมผ่อนผันให้ และโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ ไม่จัดเงินทุนหมุนเวียนและเงินฝากประจำแก่ธนาคารโจทก์ตามสัญญา นับว่าเป็นความผิดของโจทก์เอง คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วและเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ในฐานะผู้ค้ำประกัน จะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ ถือหุ้นอยู่ในธนาคารโจทก์ถ้าคิดบัญชีกันแล้วโจทก์กลับจะต้องใช้เงินให้จำเลย โจทก์ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ ทำให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ หลุดพ้นความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งให้ตั้งผู้ตรวจสอบบัญชีและเอกสาร เพื่อแสดงว่าใครเป็นหนี้ใครอยู่เท่าใด
ศาลชั้นต้นสั่งรับแต่คำให้การจำเลยที่ ๒, ๓ และ ๔ ไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์และฎีกา ศาลพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ให้นายทะเบียนฯ จดชื่อบริษัทจำเลยที่ ๑ กลับคืนสู่ทะเบียนใหม่ ให้มีฐานะเสมือนหนึ่งมิได้มีการขีดชื่อออกและให้ดำเนินการต่อไป ถ้าไม่อาจดำเนินการต่อไปได้ ตามมาตรา ๑๒๓๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ก็ให้เลิกบริษัทเสีย และตั้งผู้ชำระบัญชีตามกฎหมาย และให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ชำระเงินแก่โจทก์คนละส่วนพร้อมดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้บังคับจำนองจำเลยที่ ๓ ถ้าไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์อื่นของจำเลยที่ ๓ จนครบ และหากได้มีการไถ่จำนองแล้ว ก็ให้โจทก์บังคับเอาแก่เงินของจำเลยที่ ๓ ที่ฝากไว้แก่ธนาคารโจทก์ได้ และให้บังคับแก่เงินที่จำเลยที่ ๔ ไถ่จำนองไปแล้วที่นำไปฝากอยู่กับธนาคารโจทก์หนี้ที่เหลือให้บังคับจำนอง ถ้าไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์อื่นจนครบ
จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ซึ่งเป็นตัวการยอมผ่อนปรนแก่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นตัวแทน โดยให้โอกาสแก่จำเลยที่ ๑ ในอันที่จะจัดการเรื่องหนี้สินให้เรียบร้อยนั้นจะถือว่าเป็นความผิดของโจทก์หาได้ไม่ เพราะโจทก์อาจจะมองการณ์ไกลว่าการพยายามรักษาความสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๑ กับพวกไว้จะเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจของโจทก์ในระยะยาวก็เป็นได้ และตามสัญญาหมาย จ.๓ ข้อสัญญาที่กำหนดให้จำเลยที่ ๑ ต้องกระทำการต่าง ๆ เช่น ต้องมีทุนหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ในจำนวน ๕ ล้านบาทนี้จะต้องนำมาฝากประจำไว้แก่โจทก์ไม่น้อยกว่า ๑ ล้านบาท ต้องนำที่ดินรวม ๘ โฉนดดังที่ระบุไว้มาจำนองเป็นประกันความเสียหาย ต้องซื้อหุ้นของธนาคารโจทก์เป็นเงิน ๕ แสนบาทเหล่านี้หาได้ระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องกระทำ ณ เวลาใดอันเป็นกำหนดแน่นอนไม่ อีกทั้งการที่จำเลยที่ ๑ ไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าว และยังกระทำผิดสัญญาในเรื่องการให้กู้ยืมกับให้เบิกเงินเกินบัญชี โจทก์ก็ยังไม่เลิกสัญญาทันทีนั้น ก็ไม่เป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๐ จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ผู้จำนองจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด
อายุความสำหรับธนาคารที่จะเรียกร้องเอาดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีเดินสะพัดจากลูกหนี้ของธนาคาร กับอายุความสำหรับโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ในฐานะที่เป็นผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ ๑ นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ธนาคารโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นเอาแก่ลูกหนี้รายใดได้จนถึงวันใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เมื่อจำเลยที่ ๑ ประพฤติผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของธนาคารเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะเงินต้นและดอกเบี้ยสูญ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าเสียหายและเรียกร้องเอาแก่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ได้ในฐานะที่เป็นผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้รับผิดตามสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาอันเป็นสัญญาตั้งตัวแทนมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔ นับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๐๗ ซึ่งโจทก์มีหนังสือเลิกสัญญาและเข้าดำเนินกิจการธนาคารสาขาเองจนถึงวันฟ้องคดียังไม่เกินกำหนด ๑๐ ปี คดีโจทก์ส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ ๑ ยังไม่ขาดอายุความจึงไม่ขาดอายุความในส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้รับผิดในฐานะผู้จำนองเป็นประกันจำเลยที่ ๑ ด้วย
ตามปกติการผิดนัดย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญา แต่กรณีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้มีสัญญาบัญชีเดินสะพัด เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว ดังนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วยังไม่มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญา คู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็ต้องถือว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัดจนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้ว เมื่อยังไม่มีการผิดนัดกรณีก็ย่อมไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด” ในระหว่างนั้นโจทก์ยังมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากลูกหนี้ผู้เบิกเงินเกินบัญชีได้ตามมาตรา ๖๕๕ วรรคสอง (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๖๕๘-๖๕๙/๒๕๑๑ ระหว่างนายเดือน บุนนาค โจทก์นายถวิล ยมกกุล กับ จำเลย ฯลฯ ซึ่งวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ท้ายฟ้องมีเอกสารหมายเลข ๔ ซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ให้กู้ยืมและเบิกเงินเกินบัญชีแล้วเรียกเก็บไม่ได้ ซึ่งแสดงรายละเอียดว่า ลูกหนี้ชื่อใดบัญชีที่เท่าใด ยอดหนี้เป็นจำนวนเท่าใด ตลอดทั้งเหตุที่เรียกเก็บไม่ได้เป็นเพราะไม่มีสัญญาหรือว่าไม่มีทั้งสัญญาและหลักประกันด้วย ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนข้อที่ว่าหนี้แต่ละรายเหล่านั้นเป็นเงินต้นเท่าใด คิดดอกเบี้ยอย่างไรนั้นเป็นรายละเอียดซึ่งโจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ จำนองที่ดินให้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันสัญญาจัดตั้งธนาคารสาขาสำเพ็งนั้น เป็นการให้สัญญาแก่โจทก์ว่า ถ้าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดสัญญาเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แล้วไม่ชำระหนี้ค่าเสียนั้น ก็ให้โจทก์บังคับจำนองได้ซึ่งต่างกับการค้ำประกัน และมิได้มีบทบัญญัติใดในลักษณะจำนองที่ให้นำมาตรา ๖๘๙ ในลักษณะค้ำประกันมาใช้บังคับโดยอนุโลมด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๘๗/๒๕๑๗ ระหว่าง ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด กับพวก โจทก์ นางสำเภา รักษ์เจริญ กับพวก จำเลย)
พิพากษายืน