คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 74/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคดีไม่มีประเด็นหรือไม่ได้นำสืบกันมาว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 ศาลจะยกคำให้การของผู้ตายซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายนี้ในคดีก่อนมาฟังว่า เป็นที่บ้านที่สวนโดยคู่ความคดีนี้มิได้อ้างเป็นพยานและไม่ใช่พยานของศาลด้วย ไม่ได้
ในกรณีเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นที่บ้านที่สวนมือเปล่าธรรมดา ที่ต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชน์ ผู้ยึดถือมีแต่สิทธิครอบครอง เมื่อสละและโอนการครอบครองให้ผู้รับยกให้เกิน 1 ปี แล้ว ย่อมขาดสิทธิ แม้การยกให้จำทำไม่ถูกแบบตามมาตรา 525 ผู้รับได้สิทธิครอบครองแล้ว (อ้างฎีกาที่ 1101/2504)
การยกไม้ 3 ตันให้เขาออกทุนปลูกเรือนขึ้นโดยตกลงกันให้เจ้าของไม่ได้อยู่อาศัยด้วยจนตลอดชีวิตนั้น เป็นเรื่องยกไม้ให้เขา ไม่ใช่ยกเรือนให้ เรือนนั้นจึงเป็นของผู้ออกทุนปลูกสร้างฝ่ายเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกของนายไหม ซึ่งเป็นพี่ชายโจทก์และจำเลยที่ ๑ ครึ่งหนึ่ง มีที่ส่วน ๑ แปลงที่สวนและปลูกบ้าน ๑ แปลงกับเรือน ๑ หลัง เป็นเงิน ๕,๕๐๐ บาท
จำเลยให้การว่าไม่ใช่มรดกเพราะนายไหมได้ยกที่ดินทั้ง ๒ แปลงซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญให้เป็นสิทธิแก่จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ได้ครอบครองมาเกิน ๑ ปีแล้ว ส่วนเรือน เป็นของจำเลยที่ ๑ ร่วมทุนกับนายไหมปลูกขึ้น และนายไหมได้ยกให้จำเลยที่ ๑ แล้วเช่นกัน
ศาลชั้นต้นฟังสมข้อต่อสู้ขอจำเลย พิพากษายกฟ้อง
่โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายไหมได้ยกทรัพย์พิพาทให้จำเลยจริง แต่ตามคำให้การนายไหมในคดีแพ่งแดงที่ ๑๖๙/๒๔๙๘ ปรากฏว่าที่สวน ๒ แปลงนี้เป็นที่บ้านมากกว่า ๔๐ ปีแล้ว ซึ่งต้องบังคับตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ ๔๒ จำเลยครอบครองมา ๓ ปีเท่านั้น ยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ส่วนเรือนก็ครอบครองมา ๘ ปี และการยกให้มิได้ทำหนังสือจดทะเบียน พิพากษากลับให้แบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ไม่มี ประเด็นหรือนำสืบกันมาเลยว่าเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ และการที่ศาลอุทธรณ์ยกคำให้นายนายไหมในคดีแดงที่ ๑๖๙/๒๔๙๘ มฟังเช่นนั้น ก็ไม่ชอบ เพราะไม่มีฝ่ายใดอ้างเป็นพยาน และไม่ใช่พยานของศาลด้วย ต้องถือว่าที่พิพาทเป็นที่มือเปล่าธรรมธรรมดาอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือผู้ยึดถือมีแต่สิทธิครอบครอง แม้การยกให้จะทำไม่ถูกแบบตาม มาตรา ๕๒๕ จำเลยที่ ๒ ก็ได้สิทธิครอบครองตามที่ผู้ให้ได้สละและโอนการครอบครองให้จำเลยที่ ๒ แล้ว ตามฎีกาที่ ๑๑๐๑/๒๕๐๔ ที่พิพาทจึงไม่เป็นมรดก ส่วนเรือนก็ได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ปลูกขึ้นโดยนายไหมให้ไม้ ๓ ตัน ร่วมปลูกด้วย เท่านั้น โดยมีข้อตกลงว่าปลูกแล้วจำเลยยอมให้นายไหมอยู่ด้วยจนกว่าจะตาย เรือนจึงเป็นของจำเลยที่ ๑ ผู้เดียว
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น

Share