แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของนานเกินกว่า 10 ปี ต่อมาเมื่อปี 2535 จำเลยขอรังวัดที่ดินของตนซึ่งมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของ ก. จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนเองโดยการครอบครองปรปักษ์ ทั้งยังยอมรับว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของตนเอง แต่อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของ ก. จึงถือได้ว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว และแม้จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนเป็นเวลาเกิน 10 ปี ที่จำเลยอาจได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แล้วก็ตาม ถือได้ว่าจำเลยได้สละกรรมสิทธิ์ที่ได้มาดังกล่าวให้แก่ ก. แล้ว และการครอบครองที่มีมาก่อนดังกล่าวย่อมสิ้นสุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 การครอบครองที่ดินที่จะเป็นเหตุให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ใหม่ได้อีกจึงต้องเริ่มต้นนับใหม่ตั้งแต่วันที่จำเลยได้ครอบครองที่ดินใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากจะถือว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินใหม่ทันทีหลังจากที่ได้รับรองแนวเขตเป็นต้นไป แต่เมื่อนับถึงวันฟ้องแล้วไม่ครบ 10 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1888 ตำบลลำพระยา อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) ของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1888 ตำบลลำพระยา อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) เฉพาะส่วนตามรูปแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 2 งาน ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกโจทก์ร่วมทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 1888 ตำบลลำพระยา อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) เข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 1888 ตำบลลำพระยา อำเภอบางเลน (บางปลา) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) เฉพาะส่วนตามรูปแผนที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 และยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดให้เป็นพับ
โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทตามแนวเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาท ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องของโจทก์ทั้งสองศาล และในส่วนฟ้องแย้งในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 10,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นให้เป็นพับจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่า จำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยการทำนาอย่างเป็นเจ้าของมานานเกินกว่า 10 ปีแล้ว ต่อมาเมื่อปี 2535 จำเลยและเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินโฉนดเลขที่ 1217 ได้นำเจ้าหน้าที่ที่ดินไปรังวัดเพื่อแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม แต่การรังวัดดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้เนื่องจากที่ดินและรูปโฉนดไม่ตรงกัน ทางฝ่ายจำเลยจึงทราบว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยครอบครองทำนาอยู่โดยเข้าใจว่าที่ดินพิพาทนั้นอยู่ในโฉนดที่ดินเลขที่ 1217 ที่ขอรังวัด แต่เป็นที่ดินที่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 1888 ซึ่งขณะนั้นเป็นของนางกิมลี้มารดาโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ หลังจากนั้นจำเลยจึงนำเจ้าหน้าที่ที่ดินไปรังวัดใหม่โดยชี้ตามแนวโฉนดที่แท้จริงของโฉนดเลขที่ 1217 ส่วนโจทก์ชี้แนวเขตโฉนดเลขที่ 1888 จึงสามารถรังวัดได้เสร็จ จากนั้นเจ้าหน้าที่ที่ดินได้บันทึกการรังวัดไว้โดยให้จำเลยและเจ้าของที่ดินข้างเคียงลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตไว้ตามบันทึกถ้อยคำ และในปี 2537 นางกิมลี้ยกที่ดินของตนดังกล่าวให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ ปัญหามีว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า ในปี 2535 ที่ดินโฉนดเลขที่ 1217 ที่จำเลยขอรังวัดนั้นอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 1888 ของนางกิมลี้มารดาโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ การรังวัดที่ดินโฉนดเลขที่ 1217 จึงต้องเกี่ยวพันกับที่ดินของนางกิมลี้ เพราะนางกิมลี้เป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งจะต้องมาระวังแนวเขตด้วย เมื่อการรังวัดที่ดินครั้งนี้จำเลยไม่ได้โต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของตนเองโดยการครอบครองปรปักษ์อีก ทั้งยังยอมรับว่าที่ดินพิพาทไม่ได้อยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของตน แต่อยู่ในเขตโฉนดที่ดินของนางกิมลี้ซึ่งต่อมานางกิมลี้ได้ยกให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสี่ จึงถือได้ว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองที่ดินพิพาทแล้ว และแม้จำเลยจะเคยครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนเป็นเวลาเกิน 10 ปีที่จำเลยอาจได้กรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 แล้วก็ตาม ก็ถือได้ว่าจำเลยได้สละกรรมสิทธิ์ที่ได้มาดังกล่าวให้แก่นางกิมลี้แล้ว และการครอบครองที่มีมาก่อนดังกล่าวย่อมสิ้นสุดลง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377 การครอบครองที่ดินที่จะเป็นเหตุให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์ใหม่ได้อีกจึงต้องเริ่มต้นนับใหม่ตั้งแต่วันที่จำเลยได้ครอบครองที่ดินใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งแม้หากจะถือว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินใหม่ทันทีหลังจากที่ได้รับรองแนวเขตเป็นต้นไป แต่เมื่อนับถึงวันฟ้องแล้วไม่ครบ 10 ปี จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์อีกแต่อย่างใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.