แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 กำหนดเงื่อนไขวิธีการได้มาซึ่งอนุสิทธิบัตร การปฏิเสธคำขอรับอนุสิทธิบัตร และการให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์ไว้ในหมวด 3 ทวิ ซึ่งมีเงื่อนไขแยกต่างหากจากการขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ในหมวด 2 โดยมีขั้นตอนในกระบวนการพิจารณาและการตรวจสอบคำขอรับอนุสิทธิบัตรโดยฝ่ายพนักงานเจ้าหน้าที่น้อยกว่าในกระบวนการพิจารณาและการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ และให้ความคุ้มครองในสิทธิตามอนุสิทธิบัตรซึ่งมีระยะเวลาที่สั้นกว่าการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์
อย่างไรก็ตาม ภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศโฆษณาการจดทะเบียนการประดิษฐ์และการออกอนุสิทธิบัตร บุคคลผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้ตรวจสอบว่าการประดิษฐ์ดังกล่าวมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 65 ทวิ หรือไม่ก็ได้ ตามมาตรา 65 ฉ การอุทธรณ์คำวินิจฉัยของอธิบดีกรมจำเลยที่ 1 กรณีที่อธิบดีของจำเลยที่ 1 มีคำวินิจฉัยว่าการประดิษฐ์นั้นมีลักษณะตามมาตรา 65 ทวิ ให้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรตามมาตรา 72 ส่วนการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรให้อุทธรณ์ต่อศาล คู่กรณีฝ่ายใดไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยหรือคำสั่งนั้นก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ตามมาตรา 74 หรืออีกวิธีทางหนึ่งได้กำหนดให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการสามารถฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรได้ หากอนุสิทธิบัตรนั้นไม่สมบูรณ์เพราะขาดความใหม่ตามมาตรา 65 ทวิ รวมถึงคำขอรับอนุสิทธิบัตรที่ไม่เป็นไปตามมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 9, 10, 11 หรือ 14 ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 นว
กระบวนการใช้สิทธิขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรทั้งสองวิธีดังกล่าวเป็นกระบวนการทางเลือก หากบุคคลผู้มีส่วนได้เสียเลือกที่จะใช้สิทธิยื่นขอให้มีการตรวจสอบตามมาตรา 65 ฉ แล้ว ย่อมต้องผูกพันในกระบวนการที่ตนเลือก และไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องศาลจนกว่ากระบวนการดังกล่าวจะสิ้นสุดและนำคดีขึ้นสู่ศาลตามมาตรา 72 และ 74 และไม่อาจนำเรื่องเดียวกันมาฟ้องขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรดังกล่าวได้อีก เพราะหากนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องได้อีกก็จะมีผลเท่ากับเป็นการอนุญาตให้มีการพิสูจน์สิทธิในเรื่องเดียวกันระหว่างคู่กรณีเดียวกันซ้ำซ้อน
เมื่อโจทก์ยื่นคำขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรของจำเลยที่ 2 ว่ามีลักษณะตามที่กำหนดในมาตรา 65 ทวิ หรือไม่ และอธิบดีของจำเลยที่ 1 ยังไม่มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำขอตรวจสอบดังกล่าว โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรของจำเลยที่ 2 อันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา 65 นว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 ที่ออกให้แก่จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 2 ดำเนินการเพิกถอนอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 ที่ออกให้แก่จำเลยที่ 2 ทันทีที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หากจำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิตามกฎหมายในอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 กับมีคำสั่งยกเลิกคำขอจดทะเบียนการอนุญาตให้ใช้สิทธิตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 ของจำเลยที่ 2 ที่จดทะเบียนไว้กับจำเลยที่ 1 ทุกฉบับ
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองไม่โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์เปลี่ยนชื่อและชื่อสกุล โจทก์เป็นผู้ทรงอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์สำหรับเครื่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1930 โจทก์ผลิตเครื่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดหยอดเหรียญและสอดธนบัตรตามอนุสิทธิบัตรขาย มีไว้เพื่อขาย และเสนอขายโดยใช้ชื่อทางการค้าว่า บริษัทพัชร เฟิร์ส ออยส์ จำกัด ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นหน่วยงานราชการสังกัดกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ทรงอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์สำหรับตู้จำหน่ายน้ำมันด้วยการหยอดเหรียญหรือสอดเข้าของธนบัตรตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 โดยยื่นคำขอรับอนุสิทธิบัตร จำเลยที่ 2 ใช้ชื่อทางการค้าว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.เซฟ ออยล์ หรือแชมป์ออยล์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความยื่นคำขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ของอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 ของจำเลยที่ 2 ว่ามีลักษณะตามที่กำหนดในมาตรา 65 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 หรือไม่
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 นว หรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 นว วรรคสอง การกล่าวอ้างความไม่สมบูรณ์ของอนุสิทธิบัตรนั้นบุคคลใดก็มีสิทธิกล่าวอ้างได้ แต่เฉพาะผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้นที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรนั้นได้ เมื่อการประดิษฐ์ของจำเลยที่ 2 ตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 มีลักษณะเช่นเดียวหรือให้ผลทำนองเดียวกับการประดิษฐ์เครื่องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 1930 ของโจทก์ โจทก์ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนอนุสิทธิบัตรดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ได้ตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 มาตรา 65 นว วรรคสอง เห็นว่า ในเรื่องอนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์นั้น พระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ.2522 กำหนดเงื่อนไขในวิธีการได้มาซึ่งอนุสิทธิบัตร การปฏิเสธคำขอรับอนุสิทธิบัตรและการให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรสำหรับการประดิษฐ์ไว้ในหมวด 3 ทวิ ซึ่งมีเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาคำขอรับอนุสิทธิบัตรแยกต่างหากจากการขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์บัญญัติไว้ในหมวด 2 โดยมีขั้นตอนในกระบวนการพิจารณาและการตรวจสอบคำขอรับอนุสิทธิบัตรโดยฝ่ายพนักงานเจ้าหน้าที่น้อยกว่าในกระบวนการพิจารณาและตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์และให้ความคุ้มครองในสิทธิตามอนุสิทธิบัตรซึ่งมีระยะเวลาที่สั้นกว่าการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการประดิษฐ์ด้วยการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบคำขอรับอนุสิทธิบัตรให้ถูกต้องตามมาตรา 65 ทศ ประกอบด้วยมาตรา 17 และตรวจสอบว่าการประดิษฐ์นั้นได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 9 และทำรายงานการตรวจสอบนั้นเสนอต่ออธิบดีกรมจำเลยที่ 1 เพื่อรับจดทะเบียนการประดิษฐ์และออกอนุสิทธิบัตรให้และประกาศโฆษณาการจดทะเบียนการประดิษฐ์และออกอนุสิทธิบัตรตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 65 เบญจ ต่างจากการออกสิทธิบัตรการประดิษฐ์ที่ต้องมีประกาศโฆษณาคำขอรับสิทธิบัตร เพื่อให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรยื่นคำขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบการประดิษฐ์นั้น และเพื่อให้บุคคลผู้ที่เห็นว่าตนมีสิทธิรับสิทธิบัตรดีกว่าผู้ขอรับสิทธิบัตรหรือเห็นว่าคำขอรับสิทธิบัตรไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ยื่นคำคัดค้านต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 28 ถึงมาตรา 31 อย่างไรก็ตามภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศโฆษณาการจดทะเบียนการประดิษฐ์และการออกอนุสิทธิบัตร บุคคลผู้มีส่วนได้เสียอาจขอให้ตรวจสอบว่าการประดิษฐ์ที่ได้รับอนุสิทธิบัตรมีลักษณะตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 65 ทวิ หรือไม่ก็ได้ ตามมาตรา 65 ฉ การอุทธรณ์คำวินิจฉัยของอธิบดีกรมจำเลยที่ 1 กรณีที่อธิบดีของจำเลยที่ 1 มีคำวินิจฉัยว่า การประดิษฐ์นั้นมีลักษณะตามมาตรา 65 ทวิ ให้อุทธรณ์คำวินิจฉัยต่อคณะกรรมการสิทธิบัตรตามมาตรา 72 ส่วนการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการสิทธิบัตรที่ให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรให้อุทธรณ์ต่อศาล คู่กรณีฝ่ายใดไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยหรือคำสั่งนั้นก็มีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยหรือคำสั่งตามมาตรา 74 หรืออีกวิธีทางหนึ่งได้กำหนดให้บุคคลผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการสามารถฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรได้ หากอนุสิทธิบัตรนั้นไม่สมบูรณ์เพราะขาดความใหม่ตามมาตรา 65 ทวิ รวมถึงคำขอรับอนุสิทธิบัตรที่ไม่เป็นไปตามมาตรา 65 ทศ ประกอบมาตรา 9, 10, 11 หรือ 14 ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 65 นว ซึ่งกระบวนการใช้สิทธิขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรทั้งสองวิธีดังกล่าวเป็นกระบวนการทางเลือก หากบุคคลผู้มีส่วนได้เสียเลือกที่จะใช้สิทธิยื่นขอให้มีการตรวจสอบความสมบูรณ์ของอนุสิทธิบัตรตามมาตรา 65 ฉ แล้ว ย่อมต้องผูกพันในกระบวนการที่ตนเลือกใช้สิทธิและไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องศาลจนกว่ากระบวนการดังกล่าวจะสิ้นสุดและนำคดีขึ้นสู่ศาลตามมาตรา 72 และ 74 และไม่อาจนำเรื่องเดียวกันมาฟ้องขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรดังกล่าวได้อีก เพราะหากนำคดีเรื่องเดียวกันมาฟ้องร้องได้อีกก็จะมีผลเท่ากับเป็นการอนุญาตให้มีการพิสูจน์สิทธิในเรื่องเดียวกันระหว่างคู่กรณีเดียวกันซ้ำซ้อน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคำขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์ตามอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 ของจำเลยที่ 2 ว่ามีลักษณะตามที่กำหนดในมาตรา 65 ทวิ หรือไม่ และอธิบดีของจำเลยที่ 1 ยังไม่มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำขอตรวจสอบดังกล่าว กระบวนการตามกฎหมายที่โจทก์เลือกดำเนินการยังไม่สิ้นสุด โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีนี้มาฟ้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนอนุสิทธิบัตรเลขที่ 6183 ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวอันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา 65 นว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นตามอุทธรณ์ของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ