คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6549/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่า 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนของกลางที่พยานโจทก์ทั้งสามยึดได้ในขณะจับกุมจำเลยทั้งสองที่ห้องพักโรงแรมที่เกิดเหตุถูกแบ่งมาจาก 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ตรวจค้นได้ในห้องพักของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 มี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนของกลาง 1 เม็ด ดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ที่ยึดได้จากห้องพักของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192
ความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำต่างกรรมกับความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เท่ากับโจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด รวมกันมาเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตาม ป.อ. มาตรา 91 ได้ เนื่องจากเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง แต่ศาลมีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 100/1, 102 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 89, 116 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 58, 83, 91 ริบคีตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ และรถยนต์เก๋งของกลาง กับให้บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10940/2546 ของศาลแขวงพระนครเหนือเข้ากับโทษในคดีนี้ และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3028/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่รับสารภาพฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน และขายคีตามีน แต่ให้การปฏิเสธฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนและคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 สำหรับจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 9 ปี ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10940/2546 ของศาลแขวงพระนครเหนือ เข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 เป็นจำคุก 6 ปี 2 เดือน สำหรับจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่เนื่องจากความผิดทั้งสองฐานมีอัตราโทษเท่ากัน (ที่ถูก เป็นกรรมเดียวคือการขาย) จึงให้ลงโทษฐานขายคีตามีน จำคุก 5 ปี ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน และคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเพื่อขาย ชั้นพิจารณาให้การรับสารภาพข้อหาจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนและคีตามีน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลดโทษให้หนึ่งในสาม ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนและขายคีตามีนลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกฐานมีเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี 8 เดือน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 ปี ฐานขายคีตามีน จำคุก 2 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 14 เดือน นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3028/2546 ของศาลชั้นต้น ริบของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด) จำเลยที่ 1 ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 100/2 วางโทษจำคุก 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด) อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 2 ให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 2 น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 วางโทษจำคุก 2 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานขายคีตามีนด้วยแล้ว เป็นจำคุก 7 ปี คำรับในการตรวจค้นชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ฐานจำหน่ายและขายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 เดือน ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10940/2546 ของศาลแขวงพระนครเหนือเข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน ส่วนโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3028/2546 ของศาลชั้นต้น ริบคีตามีน และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ส่วนรถยนต์เก๋งของกลางให้คืนแก่จำเลยที่ 1 คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองที่โรงแรมชวาลาและยึดได้เมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ยาอี 1 เม็ด และยาเค 1 ขวด กับยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 0 7980XXXXX จากจำเลยที่ 2 ที่ใช้ติดต่อซื้อขายยาเสพติดให้โทษกับวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวและรถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน ฉน 598 กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 เป็นของกลาง วันเวลาเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจได้นำจำเลยที่ 1 ไปตรวจค้นที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 ที่อรชนกอพาร์ตเมนต์และยึดได้ยาอีอีก 1 เม็ด เป็นของกลาง พนักงานสอบสวนส่งเมทแอมเฟตามีน ยาอีและยาเค ของกลางทั้งหมดไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานวิทยาการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจปรากฏว่า เมทแอมเฟตามีนและยาอี เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีนและ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนตามลำดับ และยาเค เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ชนิดคีตามีน สำหรับความผิดของจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และยาอี 1 เม็ด อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย และฐานมียาเคอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายและขาย คู่ความมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ยาอี 1 เม็ด และยาเค 1 ขวด ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเพื่อขายหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ส่วนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดยาอี 1 เม็ด ของกลางได้ที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 นั้น พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่พอฟังว่า มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มียาอีดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับยาอี 1 เม็ดของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้จากห้องพักของจำเลยที่ 1 ในปัญหาข้อนี้ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มียาอีของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่พอฟังว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย สำหรับจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มียาอีของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ในชั้นนี้คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวชอบหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยรวมกันไป โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสุชาติพยานโจทก์ซึ่งนำจำเลยที่ 1 ขึ้นไปตรวจค้นห้องพักที่เกิดเหตุของจำเลยที่ 1 เบิกความว่า พยานกับพวกตรวจค้นพบยาอี 1 เม็ด กับสมุดบันทึก 1 เล่ม เป็นของกลางจากห้องพักของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 รับว่ายาอีเป็นของจำเลยทั้งสองและสมุดบันทึกดังกล่าวเป็นสมุดบันทึกรายรับรายจ่ายเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดให้โทษ คำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสุชาติตรงกับคำให้การของจำเลยที่ 1 ว่า ยาอีและสมุดบันทึกดังกล่าวซึ่งบันทึกรายรับรายจ่ายการซื้อขายยาเสพติดให้โทษที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งภายในห้องพักของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นของจำเลยทั้งสองมีไว้เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้า ปัญหาว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกันมียาอีของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ แม้ร้อยตำรวจเอกสุชาติ สิบตำรวจเอกไมตรีและสิบตำรวจเอกราชันย์พยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยทั้งสองให้การในขณะถูกจับกุมว่า จำเลยทั้งสองพักอยู่ด้วยกันที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 แต่ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสุชาติพยานโจทก์ซึ่งนำจำเลยที่ 1 ขึ้นไปตรวจค้นที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 ว่า ภายในห้องพักของจำเลยที่ 1 ไม่พบเสื้อผ้าของผู้หญิง รวมทั้งไม่ปรากฏว่ามีเครื่องใช้ผู้หญิงอยู่ในห้องพักด้วย ยิ่งกว่านั้นหากจำเลยที่ 2 พักอยู่กับจำเลยที่ 1 ร้อยตำรวจเอกสุชาติพยานโจทก์ก็น่าจะนำจำเลยที่ 2 ขึ้นไปตรวจค้นห้องพักร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย ไม่มีเหตุผลที่พยานโจทก์จะให้สิบตำรวจเอกไมตรีกับสิบตำรวจเอกราชันย์ควบคุมตัวจำเลยที่ 2 รออยู่ที่ชั้นล่าง ข้อที่พยานโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเหตุที่ไม่นำจำเลยที่ 2 ให้ไปร่วมทำการตรวจค้นห้องพักด้วยเพราะเกรงว่าจำเลยทั้งสองจะยักย้ายยาเสพติดให้โทษในห้องพัก ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายเจ้าพนักงานตำรวจมีมากกว่าฝ่ายจำเลยซึ่งมีเพียง 2 คน ข้ออ้างของพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวไม่สมเหตุผลจึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง ทั้งจำเลยทั้งสองต่างนำสืบว่า จำเลยที่ 2 มิได้พักกับจำเลยที่ 1 เช่นนี้ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่เพียงพอให้รับฟังว่า ยาอีของกลาง 1 เม็ด ที่ตรวจยึดได้ที่ห้องพักที่เกิดเหตุของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มียาอีดังกล่าวไว้ในครอบครอง ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 มียาอีดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ เห็นว่า แม้ยาอีของกลางที่ร้อยตำรวจเอกสุชาติตรวจยึดจากห้องพักของจำเลยที่ 1 กับยาอีของกลางที่ร้อยตำรวจเอกสุชาติ สิบตำรวจเอกไมตรีและสิบตำรวจเอกราชันย์พยานโจทก์ทั้งสามยึดได้ในขณะจับกุมจำเลยทั้งสองที่ห้องพักของโรงแรมชวาลาจะมีลักษณะเหมือนกัน แต่โจทก์ก็หาได้มีพยานหลักฐานอื่นใดที่เชื่อมโยงได้ว่ายาอีของกลางที่ยึดได้จากทั้งสองแห่งดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือไม่ ทั้งจำเลยที่ 1 มีพฤติกรรมเสพยาอีด้วย ประกอบกับยาอีของกลางที่ตรวจค้นได้ในห้องพักของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวมีเพียง 1 เม็ด ย่อมอยู่ในวิสัยของจำเลยที่ 1 ที่จะมีไว้เพื่อเสพก็ได้ ส่วนสมุดบันทึกของกลาง เมื่ออ่านข้อความที่เขียนในสมุดบันทึกดังกล่าวก็ไม่ปรากฏมีส่วนใดบันทึกเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดให้โทษดังที่พยานโจทก์กล่าวอ้าง เมื่อโจทก์มิได้นำสืบความหมายของถ้อยคำในสมุดบันทึกของกลางว่า คำใดที่ใช้เรียกขานแทนยาเสพติดให้โทษ ทั้งมิได้มีการตรวจสอบด้วยว่าลายมือในสมุดบันทึกของกลางเป็นลายมือของจำเลยที่ 1 หรือไม่ จึงฟังไม่ได้ว่าสมุดบันทึกของกลางเป็นสมุดบันทึกเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติดให้โทษ ดังนั้น ลำพังเพียงยาอีของกลางที่ตรวจยึดได้ที่ห้องพักของจำเลยที่ 1 กับห้องพักของโรงแรมชวาลาที่เกิดเหตุมีลักษณะเหมือนกัน เพียงเท่านี้ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่า ยาอีของกลางที่พยานโจทก์ทั้งสามยึดได้ในขณะจับกุมจำเลยทั้งสองที่ห้องพักโรงแรมที่เกิดเหตุได้ถูกแบ่งมาจากยาอีของกลางที่ตรวจค้นได้ในห้องพักของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 มียาอีของกลาง 1 เม็ด ดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ที่ยึดได้จากห้องพักของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาได้
สรุปแล้ว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ฐานมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด และคีตามีน 1 ขวด ของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเพื่อขายหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 1 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ของกลางที่ยึดได้จากห้องพักของจำเลยที่ 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองนั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์บางส่วนฟังขึ้น บางส่วนฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำต่างกรรมกับความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่โจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เท่ากับโจทก์ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมี 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีน 2 เม็ด รวมกันมาเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ได้ เนื่องจากเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง แต่ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ให้ถูกต้องได้ สำหรับรถยนต์ของกลาง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับความผิดฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์ของกลางขับพาจำเลยที่ 2 ซึ่งมียาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไปส่งมอบตามที่สายลับสั่งซื้อ รถยนต์ของกลางก็เป็นเพียงยานพาหนะที่ใช้ตามปกติทั่วไป จึงมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้องโดยตรง ทั้งมิใช่ยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งยาเสพติดให้โทษไปเพื่อจำหน่ายตามฟ้องด้วย ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ริบรถยนต์โดยให้คืนแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 67 ประกอบมาตรา 100/2 พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน และ 3, 4 – เมทิลลีนไดออกซีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันมีคีตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 7 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุก 4 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 2 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 10940/2546 ของศาลแขวงพระนครเหนือเข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 10 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share