คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3937/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้ออกใบตราส่ง พยานโจทก์และจำเลยเบิกความสอดคล้องกันว่าจำเลยเป็นตัวแทนเจ้าของเรือ ตรงตามความหมายของคำว่า “ตัวแทน” ตามมาตรา 3แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มิใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว จำเลยจึงมิใช่ผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาท ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามมาตรา248 วรรคหนึ่ง ดังกล่าว ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเช่นในคดีนี้การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน การใช้กฎหมายปรับแก่คดีนั้นต้องใช้กฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิดข้อพิพาทปรับแก่คดี ขณะเกิดเหตุข้อพิพาทคดีนี้ในปี 2533 พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ยังมิได้ประกาศใช้ จึงนำพระราชบัญญัติดังกล่าวมาปรับแก่คดีนี้หาได้ไม่ข้อพิพาทคดีนี้เกิดจากการรับขนของทางทะเล กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 วรรคสอง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาทมาปรับแก่คดี แต่เนื่องจากขณะนั้นไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการรับขนของทางทะเลบังคับใช้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 609 วรรคสอง ทั้งไม่ปรากฏจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นในเรื่องดังกล่าว จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3ลักษณะ 8 รับขน มาตรา 618 อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยในฐานะผู้ร่วมขนส่งทอดสุดท้ายต้องรับผิดต่อผู้รับตราส่งสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่สินค้าในระหว่างการขนส่งทางทะเลหลายคนหลายทอด เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534โจทก์ผู้รับประกันภัยสินค้าที่ขนส่งได้ใช้ค่าเสียหายแก่ผู้รับตราส่งซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย จึงรับช่วงสิทธิจากผู้รับตราส่งมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 55,799.54 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 53,820 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า เจ้าของเรือแต่งตั้งให้จำเลยเป็นตัวแทนในการทำพิธีการเรือ คือรายงานเรือเข้าออกต่อกรมเจ้าท่า กรมศุลกากรกองตรวจคนเข้าเมือง และการท่าเรือแห่งประเทศไทย รวมทั้งดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพิธีการเรือแทนเท่านั้น จำเลยไม่เคยรับจ้างจากสายเดินเรือให้เข้าร่วมขนส่งอีกทอดหนึ่งและไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขนถ่ายสินค้า จัดหาเครื่องมือขนถ่ายสินค้าและว่าจ้างกรรมกรขนถ่ายสินค้า ความเสียหายของสินค้าพิพาทมิได้เกิดในระหว่างการขนส่งทางทะเลเพราะสินค้าพิพาทบรรจุอยู่ในตู้สินค้า(ตู้คอนเทนเนอร์) โดยผู้ส่งสินค้าเป็นผู้บรรจุ ตรวจนับสินค้าและผนึกดวงตราปากตู้สินค้า ผู้ขนส่งไม่ได้ร่วมรับรู้หรือเกี่ยวข้องด้วย หรือที่เรียกว่า ชิปเปอร์ โหลต แอนด์ เคานท์แอนด์ ซีล ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 46,699.60 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2534จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเพียง 48,379.52 บาท ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ออกใบตราส่งพยานโจทก์และจำเลยเบิกความสอดคล้องกันว่าจำเลยเป็นตัวแทนเจ้าของเรือ ตรงตามความหมายของคำว่า “ตัวแทน” ตามมาตรา 3แห่งพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มิใช่ผู้ขนส่งหรือผู้ขนส่งอื่นตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว จำเลยจึงมิใช่ผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาทไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ดังกล่าว คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า จะนำพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาปรับแก่คดีนี้ได้หรือไม่ ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเช่นในคดีนี้ การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าเหตุที่สินค้าพิพาทได้รับความเสียหายจากการขนส่งเกิดขึ้นในปี 2533โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2534 และได้ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27กันยายน 2534 พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534มีผลใช้บังคับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2534 เห็นว่า การใช้กฎหมายปรับแก่คดีนั้นต้องใช้กฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิดข้อพิพาทปรับแก่คดี ขณะเกิดเหตุข้อพิพาทคดีนี้ในปี 2533พระราชบัญญัติ การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ยังมิได้ประกาศใช้จึงนำพระราชบัญญัติดังกล่าวมาปรับแก่คดีนี้หาได้ไม่ ข้อพิพาทคดีนี้เกิดจากการรับขนของทางทะเล กรณีจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 609 วรรคสอง ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดข้อพิพาทมาปรับแก่คดีแต่เนื่องจากขณะนั้นไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการรับขนของทางทะเลบังคับใช้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 609 วรรคสอง ทั้งไม่ปรากฏจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นในเรื่องดังกล่าวจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 8 รับขน มาตรา 618 อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 4 วรรคสอง พิพากษายืน

Share